แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะได้รับปัจจัยลบที่เข้ามากระทบจนหลายธุรกิจคาดการณ์ว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งการ “เผาจริง” แต่สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้าน อย่างแลนดี้ โฮม กลับมองว่า ธุรกิจรับสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยมาก
“บ้านหนึ่งในเป็นปัจจัย 4 แม้เศรษญกิจจะเป็นอย่างไร แต่คนก็ยังสร้างบ้านตามงบที่มี ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า โดยมีสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย”
นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและว่า สำหรับแลนดี้โฮม ได้ปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด โดยในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้าน หรือในกลุ่มราคา 2 – 5 ล้านบาท และตลาดบ้านหรูหรือลักซ์ชัวรี่ ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากพบว่ายังมีดิมานด์ในการสร้างบ้าน
ทั้งนี้จากเดิม บริษัทจะทำบ้านราคา 2 ล้านบาทปลายๆ ขึ้นไป ในกลุ่ม 2-5 ล้านบาท แต่ในปีนี้จะเน้นบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทถึง 2 ล้านบาทต้นๆ เป็นหลักตามกำลังซื้อผู้บริโภค ที่มีโอกาสจากเมืองที่ขยายตัว และต่างจังหวัดที่นิยมใช้บริษทรับสร้างบ้านมากขึ้น เช่น สระบุรี ราชบุรีและนครราชสีมา ที่พบว่ามีอัตราการขยายตัวต่อเนื่อง
ในส่วนของกลุ่มบ้านลักซ์ชัวรี่ ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ก็เป็นอีกกลุ่มที่เติบโตต่อเนื่อง หลังจากบริษัทเริ่มรุกตลาดนี้เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีใหม่ในธุรกิจเทคโนโลยี ที่มีความต้องการสร้างบ้านมากขึ้น
จากการปรับกลยุทธ์เจาะ 2 ตลาดดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนบ้านราคา 2-5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 50% บ้านระดับกลางราคา 5-15 ล้านบาท จาก 40% ลดสัดส่วนเหลือ 30% และตลาดบ้านหรูยังอยู่ที่ 20%
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2562 ที่ผ่านมา แลนดี้โฮม ยังสามารถเติบโตได้ 15% จากปี 2561 มีรายได้ประมาณ 1,800 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ตลาดรับสร้างบ้านปี 2562 มีมูลค่าอยู่ที่ 12,500 ล้านบาท เติบโต 5% จากปีก่อนหน้า ส่วนปีนี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5%
ด้านนางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ กล่าวเสริมว่า เตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการตลาดเชิงรุก โดยเฉพาะการรีแบรนด์แลนดี้โฮม โดยวางเป้าหมายเป็นท็อปออฟมายด์ หรือที่หนึ่งในใจลูกค้า เมื่อต้องการสร้างบ้าน ต้องนึกถึงแลนดี้โฮม และสร้างภาพล้กษณ์ของแลนดี้โฮมให้เป็นบริษัทรับสร้างบ้านที่มีความทันสมัย
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเดินหน้ารุกตลาดรับสร้างบ้านทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ด้วยการนำเสนอแบบบ้านใหม่มากกว่า 20 แบบ จากเดิมที่มีอยู่แล้วกว่า 300 แบบ โดยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมุ่งขยายตลาดบ้านขนาด 15-40 ล้านบาท เจาะกลุ่มเจ้าของธุรกิจขนาดกลาง ที่ต้องการบ้านขนาดใหญ่พื้นที่ใช้สอยคุ้มค่าในราคาสมเหตุผล ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดเตรียมเปิดตัวเทรนดี้โฮม ราคาเริ่มต้น2 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและกำลังของผู้บริโภคมากขึ้น
ขณะที่นายพานิช มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้างและบริหารสำนักงาน กล่าวว่า ในปีนี้จะเห็นการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้น เช่น นวัตกรรมเฟรชโฮม เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีภายในบ้าน โดยร่วมกับพันธมิตรในลักษณะเดียวกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พัฒนามาก่อนหน้านี้ เช่น นวัตกรรมบ้านเพื่อผู้สูงอายุ นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีวีอาร์ มาใช้เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ตรงความต้องการเฉพาะบุคคล รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อให้ข้อมูลความคืบหน้าในการสร้างบ้าน เป็นต้น
