ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ระบุ จีนต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าเบื้องต้นกับสหรัฐ แต่ถ้าจำเป็นก็ “ไม่กลัว” หากต้องต่อสู้กลับ
สำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ที่ประธานาธิบดีสี จะออกมาพูดโดยตรงเกี่ยวกับสงครามการค้าเช่นนี้ ทั้งท่าทีนี้ยังเกิดขึ้นเพียง 2 วันหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ แสดงความไม่พอใจว่า จนถึงขณะนี้ จีนยังไม่ได้ยื่นข้อเสนอมามากพอ ทำให้เขายังตัดสินใจที่จะสรุปข้อตกลงไม่ได้
“อย่างที่เราบอกมาตลอดว่า เราไม่ต้องการที่จะเริ่มต้นสงครามการค้า แต่เราก็ไม่กลัว”
“ถ้าจำเป็น เราจะต่อสู้กลับ แต่เราก็ทำงานกันในเชิงรุก พยายามที่จะไม่ให้มีสงครามการค้าเกิดขึ้น” นายสีกล่าว ภายในการประชุม ที่มีอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐ อาทิ นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และนายเฮนรี พลอสัน อดีตรัฐมนตรีคลัง นอกจากเหนือจากเจ้าหน้าที่ต่างประเทศรายอื่น รวมถึง นายเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรี ออสเตรเลีย เข้าร่วมด้วย ที่ศาลาประชาคม ในกรุงปักกิ่ง
ทั้งนี้ จีน และสหรัฐ 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก ตกอยู่ท่ามกลางข้อพิพาททางการค้า ที่ยืดเยื้อมานานกว่าหนึ่งปี มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอีกฝ่ายหนึ่งตอบโต้กันไปมาค คิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์
เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศถึงการบรรลุข้อตกลงส่วนแรกกับจีน แต่ผ่านมาแล้วนานกว่า 1 เดือน ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถลงรายละเอียดในข้อตกลงฉบับนี้่ได้ แม้จะมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง และฝ่ายอเมริกันระบุว่า เป็นการหารืออย่างสร้างสรรค์
ไดอานา ชอยเลวา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเอโนโด อีโคโนมิคส์ แสดงความเห็นว่า ถ้อยแถลงของสี ไม่ได้หมายความว่าปักกิ่งกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่รุกกร้าว แต่เป็นการยืนยันถึงกระแสคาดการณ์ที่ว่า จีนจะไม่ยอมอ่อนข้อในจุดยืนของตัวเอง ที่จะให้สหรัฐยกเลิกการขึ้นภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน
“รูปแบบการเจรจา และการขาดความไว้วางใจ ที่ทรัมป์เป็นฝ่ายสร้างขึ้นมานั้น ทำให้สี ค่อนข้างที่จะตัดสินใจไปแล้วว่า ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้จีนยอมอ่อนข้อไปได้มากกว่านี้แล้ว”
ทางด้านนายคิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กล่าวเตือนในงานเดียวกันนี้ว่า ถ้าหากแก้ปัญหากันไม่ได้ สงครามการค้าอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่มีอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง
เขาชี้ว่า ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายยังมองเห็นขัดแย้งกันในทุกประเด็น ก็จะเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ
ส่วนนายพอลสัน อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ระบุว่า ทั้ง 2 ประเทศกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง พร้อมเตือนว่า กำแพงที่เพิ่มมากขึ้น ในเรื่องวีซ่า การเคลื่อนไหวของผู้คน การควบคุมในเรื่องการค้า และเทคโนโลยี และความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จะทำให้สถานการณ์ของ 2 ประเทศ และทั่วโลก ย่ำแย่หนักขึ้น