เมียนมาคาด สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศพุ่งสูงอย่างมาก จากการที่บรรดาผู้ผลิตพากันหาสถานที่ลงทุนใหม่นอกจีน เพื่อเลี่ยงการขึ้นภาษีของสหรัฐ และความสามารถทางการผลิตของเวียดนามตกอยู่ในภาวะตึงตัว
เมียนมา ไทมส์ รายงานอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลเมียนมาว่า เป้าหมายของเมียนในขณะนี้ คือการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ให้ได้ถึง 5,800 ล้านดอลลาร์ จึงได้มีการดำเนินความพยายามที่จะลดขั้นตอนราชการ ที่เป็นอุปสรรคของบริษัทบางราย
ทางด้านนายอ่อง เนียงอู ปลัดกระทรวงความสัมพันธ์เศรษฐกิจต่างประเทศ และการลงทุน กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเรื่องย้ายที่ตั้งฐานการผลิตใหม่นั้น เวียดนามอาจเป็นประเทศที่มีคนเลือกเข้าลงทุนเป็นแห่งแรกๆ แต่ในขณะนี้ตลาดเวียดนามตกอยู่ในภาวะแออัดอย่างมาก ดังนั้น นักลงทุนเลยหันมามองอินโดนีเซีย และเมียนมา เป็นทางเลือกใหม่
ความได้เปรียบของเมียนมา ประเทศที่ประชากรราว 1 ใน 3 อยู่ในสถานะยากจนนั้น ยังรวมถึง การได้รับสิทธิพิเศษทางด้านส่งออก จากทั้งยุโรป และสหรัฐ เพื่อส่งเสริมการเติบโต แม้จะยังมีอุปสรรคแบบเดิมๆ อย่าง การขาดแคลนไฟฟ้า และที่ดินอุตสาหกรรม
รายงานข่าว ระบุด้วยว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีพยานหลักฐานที่บ่งชี้ว่า เวียดนามได้ถอนตัวออกจากการแข่งขันเพื่อดึงดูดการลงทุนแล้ว แต่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไทย และอินโดนีเซีย ต่างกำลังเพิ่มความพยายามที่จะดึงดูดการลงทุน
ข้อมูลจากธนาคารโลก ยังแสดงให้เห็นว่า เมื่อปีที่แล้ว เอฟดีไอสุทธิของเมียนมาร่วงลงมาอยู่ที่ 1.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากเมื่อปี 2560 ที่เคยอยู่ในสัดส่วน 6%
ธนาคารโลกบอกด้วยว่า การโยกย้ายฐานการผลิตใหม่ของบริษัทต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากสงครามการค้าจีนกับสหรัฐนั้น ถือเป็นโอกาสดีสำหรับเมียนมา ที่ธนาคารโลกคาดว่า จะมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไปจนถึง 7% ภายในปี 2565 แม้ความขัดแย้งภายในประเทศ อาทิ เรื่องชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาในรัฐยะไข่ จะยังเป็นความเสี่ยงขาลงที่เกาะติดประเทศอยู่ก็ตาม