ผู้เลี้ยงหมูในเวียดนามที่สามารถรอดพ้นจากโรค ASF ในสุกรได้ต้องถือว่า เก่งและโชคดี และความโชคดีก็ยังไม่หมดแค่ การปลอดโรค เพราะในห้วงเวลานี้เป็นช่วงที่เวียดนามขาดแคลนหมู ไม่เพียงพอต่อการบริโภค ราคาหมูเวียดนามสูงขึ้นเกือบทุกวัน เช่น ราคาประกาศเมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้ หมูเป็นในภาคเหนือมีราคาสูงถึง 55,000 ด่องต่อกิโลกรัม (73 บาท/กก.)
ขณะที่ภาคใต้อยู่ที่ 50,000 ด่องต่อกิโลกรัม (66 บาท/กก.) และยังมีการคาดการณ์กันว่าอาจพุ่งถึง 60,000 ด่องต่อกิโลกรัม (80 บาท/กก.) ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ จากปกติที่หมูเป็นจะมีราคาอยู่ราวๆ 35,000 ด่องต่อกิโลกรัม (46 บาท/กก.) เมื่อเดือนกันยายน หากเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นราคาหมูที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเวียดนาม
คนเลี้ยงหมูที่ปลอด ASF และมีหมูพร้อมจำหน่ายในเวียดนาม จึงมีโอกาสมากที่จะสามารถสร้างรายได้ยอดขายในระดับราคาสูงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะหมูเวียดนามถูกทำลายหายไปจากระบบถึง 5 ล้านตัว หรือราว 20% ของทั้งประเทศ ในจำนวนนี้เป็นหมูที่เลี้ยงหลังบ้านเป็นส่วนใหญ่ ปริมาณที่หายไปขนาดนี้กระทบต่อการบริโภค ด้วยคนเวียดนามนิยมบริโภคเนื้อหมูมากที่สุดในกลุ่มอาหารโปรตีน คือบริโภคมากถึง 28 กก.ต่อคนต่อปี ขณะที่คนไทยรับประทานเพียง 18 กก.ต่อคนต่อปี
อย่างไรก็ดี คาดว่ารัฐบาลเวียดนามอาจใช้โอกาสนี้ค่อยๆปรับปรุงฟาร์มเลี้ยงหมูทั้งประเทศให้เข้าสู่ฟาร์มมาตรฐาน ซึ่งต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงและใช้เวลาพอสมควร คาดการณ์ได้ว่าทิศทางของการเลี้ยงหมูหลังจากนี้ จะเป็นเรื่องที่ยากมากแม้จะเป็นโรงเรือนระบบปิด เพราะยังต้องขึ้นอยู่กับวิธีการและความเข้มงวดในการปฏิบัติ ฟาร์มที่เกิดใหม่ต้องป้องกันโรคได้ 100% ฟาร์มที่ทำไม่ได้ก็ต้องเลิกไป ดังนั้นใครที่อยู่ในธุรกิจหมูในเวียดนามและทำได้ดีอยู่แล้ว ก็จะดีต่อไปอีกหลายปี
ด้วยความที่มีชายแดนติดจีน หมูจากเวียดนามยังมีโอกาสส่งผ่านเข้าไปยังประเทศจีนได้อีก ขณะนี้ราคาหมูในจีนสูงถึง 100,000 ด่องต่อกิโลกรัมแล้ว (ประมาณ 132 บาท/กก.) เรียกว่าเป็นโอกาสดีของผู้เลี้ยงหมูในเวียดนามก็น่าจะได้
ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเป็นสะท้อนมาถึงประเทศไทยเช่นกัน ขณะที่ไทยยังคงสถานะปลอด ASF เกษตรกรไทยย่อมจะได้รับอานิสงส์ราคาตามแนวโน้มราคาหมูในตลาดโลกด้วย
โดย ฉัตรเฉลิม ส่งสวัสดิ์
