ประธานกรรมการบริหารบริษัทเครื่องสำอางเกาหลีใต้ “โคลมาร์ โคเรีย” ประกาศลาออกจากตำแหน่งในวันนี้ (11 ส.ค.) หลังตกเป็นเป้าวิจารณ์อย่างรุนแรง กรณีบังคับให้พนักงานดูคลิปวีดิโอในยูทูบ ที่มีเนื้อหาชื่นชมญี่ปุ่น ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศกำลังตึงเครียด
คลิปวีดิโอที่ถูกนำมาเปิดในการประชุมประจำเดือนของบริษัทโคลมาร์ โคเรีย ที่มีพนักงานเข้าร่วมประชุมราว 700 คนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประณามการตอบโต้ญี่ปุ่นของประธานาธิบดีมูน แจ อิน ผู้นำเกาหลีใต้ และกล่าวยกย่องนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ที่ “ไม่ต่อยหน้ามูน”
เนื้อหาในคลิปยังอ้างไปถึงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในเวเนซุเอลา โดยระบุว่า ผู้หญิงในประเทศนี้ต้องขายบริการเพื่อแลกกับเงินแค่เพียง 7 ดอลลาร์เท่านั้น และว่า เกาหลีใต้ใกล้จะเผชิญชะตากรรมเดียวกันแล้ว
เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสาธารณชนอย่างรุนแรง จนเกิดกระแสเรียกร้องให้คว่ำบาตรบริษัท ซึ่งเป็นผู้จัดหาให้กับบริษัทเครื่องสำอางหลายสิบแบรนด์ทั่วโลก
นายยูน ดอง ฮัน ประธานกรรมการบริหารโคลมาร์ โคเรีย ได้ออกมาขอโทษที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา และบอกว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่ง
“ผมขอโทษต่อลูกค้า และต่อประชาชนเกาหลี ที่ให้ความไว้วางใจ และรักในสินค้าของเรา และอยากขอโทษเป็นพิเศษ จากใจจริงของผมต่อผู้หญิงทุกคน”
การประกาศลาออกดังกล่าวยังเกิดขึ้น หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โคลมาร์ โคเรีย ก็ได้ออกแถลงการณ์ในนามบริษัท ขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมอธิบายว่า มีการเปิดคลิปวีดิโอเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เพื่อที่จะฝึกให้พนักงานของบริษัทเลือกในสิ่งที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง แทนที่จะแสดงออกไปตามอารมณ์ความรู้สึก
ทั้งนี้ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้า และการทูต มาระยะหนึ่งแล้ว หลังจากที่ศาลเกาหลีใต้มีคำตัดสินออกมาเป็นระลอกให้บริษัทญี่ปุ่นจ่ายเงินชดเชยการบังคับใช้แรงงานในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งญี่ปุ่นก็ตอบโต้ด้วยการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบที่สำคัญต่อการผลิตสำหรับบริษัทเทคโนโลยีเกาหลีใต
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ทั้ง 2 ประเทศจะดำเนินการถอดชื่อของอีกฝ่ายหนึ่งออกจากรายชื่อคู่ค้าที่เชื่อถือได้ในต้นเดือนนี้
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ยังทำให้เกิดกระแสเรียกร้องคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นเกิดขึ้นทั่วเกาหลีใต้ ตั้งแต่เดือนที่แล้ว จนทำให้ยอดขายรถยนต์ญี่ปุ่นร่วงลงมากกว่า 30% และทำให้สายการบินหลายสายต้องระงับให้บริการไปยังญี่ปุ่น เพราะความต้องการเดินทางลดลงอย่างมาก
