นักวิเคราะห์ชี้ มีแนวโน้มที่มาเลเซีย จะเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยต่อไปภายในปลายปีนี้ หลังจากที่เพิ่งตัดสินใจลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.)
นายอเล็กซ์ โฮล์มส์ นักเศรษฐศาสตร์ตลาดเกิดใหม่เอเชีย จากแคปิตัล อิโคโนมิคส์ ระบุว่า มาเลเซียกำลังเผชิญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ทั้งความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของธนาคารกลางมาเลเซีย เกิดความกังวลขึ้นมา
แบงก์ เนการา หรือธนาคารกลางมาเลเซีย ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายชั่วข้ามคืนลง 0.25% มาอยู่ที่ 3% ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี และยังทำให้มาเลเซีย กลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผ่อนคลายนโยบายการเงิน หลังจากที่เพิ่งเพิ่มความเข้มงวดไปเมื่อปีที่แล้ว
แบงก์ชาติมาเลเซีย แถลงว่า แม้สถานการณ์การเงิน และการคลังในประเทศยังอยู่ในระดับที่สามารถสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ แต่มีสัญญาณบางอย่างถึงเงื่อนไขการเงินที่ตึงตัว จึงทำให้ธนาคารตัดสินใจที่จะปรับอัตราดอกเบี้ย เพื่อรักษาสภาพคล่องทางด้านการเงินเอาไว้
เมื่อปีที่แล้ว ชาติเอเชียหลายราย อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และอินเดีย ต่างเพิ่มความเข้มงวดในนโยบายการเงิน เพื่อสนับสนุนค่าเงินท้องถิ่นที่อ่อนค่าลง และหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะเงินทุนไหลออก จากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์ดังกล่าวกำลังจะเปลี่ยนไป ผลจากการชะลอตัวของเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ
ในปีนี้ ธนาคารกลางอินเดียลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วถึง 2 ครั้ง และเหล่านักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ อาจเดินตามรอยดอกเบี้ยขาลงภายในสัปดาห์นี้ ส่วนไทยอาจจะรู้ผลในวันนี้ (8 พ.ค.)
ที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนต่างพากันโยกเงินลงทุนออกจากมาเลเซีย ที่ตลาดหลักทรัพย์ท้องถิ่นมีผลประกอบการที่ย่ำแย่สุดในเอเชียในปีนี้ โดยปัจจัยฉุดอย่างหนึ่ง คือ การที่ประเทศพึ่งพากับการค้ามากเกินไป ภาคส่งออกคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 71% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เมื่อปีที่แล้ว