Economics

‘เจ๊ติ๋ม’เฮ!!ศาลสั่ง’กสทช.’คืนแบงก์การันตีกว่า1.7พันล้าน

85351

วันนี้ (13 มีนาคม ) ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 652/2559 ระหว่าง บริษัท ไทยทีวี จำกัด (ผู้ฟ้องคดี) กับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ.กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพิกถอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่

​บริษัท ไทยทีวี จำกัด ฟ้องว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ มีคำสั่ง วันที่ 12 ก.พ. 2559 เพิกถอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ และประกอบกิจการโทรทัศน์ ทีวีดิจิทัล ช่องไทยทีวี และ โลก้า และให้ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาต โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีอ้างว่า ไทยทีวีไม่ชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนเลิกการประกอบกิจการ โดยไทยทีวีเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นโมฆะ เนื่องจากได้แจ้งยกเลิกใบอนุญาตและยุติการดำเนินการตามใบอนุญาตดังกล่าวไปก่อนแล้ว

ศาลปกครองกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว โดยประเด็นที่ศาลพิจารณา คือ ไทยทีวี สามารถยกเลิกประกอบใบอนุญาตได้หรือไม่ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ไทยทีวี มีสิทธิยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการ เพราะเป็นการออกใบอนุญาตร่วมการงานกับภาครัฐในการใช้คลื่นความถี่สาธารณะ

พร้อมสั่งให้ กสทช. คืนหลักทรัพย์ค้ำประกันงวดที่ 3-6 ประมาณ 1,750 ล้านบาทให้ไทยทีวี เนื่องจากเห็นว่า กสทช. ให้ฐานะผู้ให้ใบอนุญาตประกอบกิจการ มีความล่าช้าในการขยายโครงข่าย และดำเนินการแจกคูปองทีวีดิจิทัลล่าช้า ไม่เป็นไปตามประกาศและส่งผลกระทบกับผู้รับใบอนุญาต

โดย กสทช.ไม่ต้องคืนเงินประมูลงวดแรก จำนวน 365 ล้านบาท และและงวดสอง 300 ล้านบาท เนื่องจากไทยทีวีและโลก้า ได้ประกอบกิจการไปแล้ว รวมทั้งการเรียกร้องค่าเสียหาย 700 ล้านบาท ของไทยทีวี ศาลเห็นว่า ไทยทีวี ไม่ได้รับความเสียหายจาก กสทช.เพราะเป็นการแข่งขันในธุรกิจทีวีดิจิทัล

ทั้งนี้ นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย หรือ ติ๋ม ทีวีพูล เจ้าของไทยทีวี และโลก้า กล่าวว่ารู้สึกพอใจกับคำพิพากษา แต่จะยื่นอุทธรณ์ ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอคืนเงินงวดแรก และงวดที่สอง รวมทั้งค่าเสียหาย 700 ล้านบาทต่อไป

เช่นเดียวกับ นายสมบัติ ลีลาพตะ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายกระจายเสียงและโทรทัศน์ กสทช. กล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์ ภายใน 30 วัน

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK