รัฐบาลญี่ปุ่น เตรียมยุติมาตรการป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ ตั้งแต่วันเสาร์นี้ ก่อนจะลดความรุนแรงเป็นระดับเดียวกับไข้หวัดใหญ่ หรือโรคตามฤดูกาลตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคมเป็นต้น
วันนี้ (27 เม.ย.) รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนการยุติมาตรการป้องกันโควิด-19 สำหรับผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศ โดยจะมีผลตั้งแต่วันเสาร์นี้ (29 เม.ย.) โดยจะลดระดับความรุนแรงของโรคไปอยู่ที่ระดับ 5 คือระดับต่ำสุด และเป็นระดับเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่หรือโรคตามฤดูกาล
โดยระหว่างนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อยุติการควบคุมชายแดนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
ปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการเดินทางเข้าญี่ปุ่น จะต้องมีหลักฐานยืนยันว่า ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว 3 โดส โดยรัฐบาลคาดว่า จะยุติการสุ่มตรวจผู้ที่เดินทางมากับสายการบิน ซึ่งบินตรงมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย
อย่างไรก็ดี แม้ว่ามาตรการต่าง ๆ จะถูกยกเลิกไป แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่า จะยังคงตรวจสุขภาพผู้ที่มีอาการไข้ และไอตามความสมัครใจของผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศ
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นตัดสินใจอย่างเป็นทางการว่า จะปรับลดระดับสถานะของโรคโควิด-19 ให้อยู่ในระดับเดียวกับใข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นการปูทางให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสังคมกลับมาเป็นปกติได้อย่างเต็มรูปแบบ
สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อของคณะกรรมการที่กระทรวงสาธารณสุข เปิดไฟเขียวให้ปรับสถานะโรคโควิดโดยพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน และความพร้อมของระบบดูแลสุขภาพ หากเกิดการระบาดขึ้นในประเทศอีกครั้ง
ทางด้านนายคัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีสุขภาพ แรงงาน และสวัสดิการ กล่าวว่า มาตรการพิเศษที่รัฐบาลใช้รับมือกับการระบาดของโควิดจะสิ้นสุดลงในวันที่ 7 พฤษภาคม โดยสถานะของโควิด-19 ในญี่ปุ่นขณะนี้ มีสถานะตามกฎหมาย เท่ากับหรือเข้มงวดมากว่าระดับที่ 2 ที่ครอบคลุมโรคติดต่อต่าง ๆ เช่น วัณโรคและโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ โรคซาร์ส
โดยการที่รัฐบาลประกาศว่า จะปรับสถานะโควิด-19 ให้อยู่ในระดับที่ 5 เท่ากับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคมเป็นต้นไป หมายความว่า จะไม่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อมีการระบาดของโควิดอีกครั้ง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ญี่ปุ่น’ พบประชาชน 40% มี ‘แอนติบอดี’ จากการติดเชื้อโควิด-19
- นักท่องเที่ยวแห่เข้า ‘ญี่ปุ่น’ ทะลุ 3.8 ล้านคน หลังผ่อนคุมโควิด-19
- ‘ญี่ปุ่น’ จ่อไฟเขียว ‘ถอดหน้ากากอนามัย’ ในที่ปิด แต่ยังบังคับในที่เสี่ยงสูง