World News

ไม่เหมือนใคร! สหรัฐ กับ ‘คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง’ วิธีการแบบ ‘เฉพาะตัว’

แม้จะผ่านวันเลือกตั้งประธานาธิบดีมาถึง 2 วันแล้ว  แต่สหรัฐ ก็ยังไม่สามารถประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้ และคำที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งในช่วงนี้ คือ “คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง” ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และทำไมต้องมี 

กระบวนการเลือกประธานาธิบดีสหรัฐ มีความสลับซับซ้อนพอสมควร โดยรัฐธรรมนูญสหรัฐ กําหนดให้เลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยการ “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral College) กล่าวคือ ประชาชนไม่ได้เลือกประธานาธิบดีโดยตรง แต่เลือกผู้ที่จะทําการเลือกประธานาธิบดีแทนพวกเขา

shutterstock 1743370412

ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ผู้เลือกตั้ง คณะผู้เลือกตั้ง ต่างกันอย่างไร

  • ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง

ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ทุกคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง แต่ตอนนี้หลายรัฐออกกฎหมาย ให้แสดงบัตรประจำตัว เพื่อพิสูจน์ตัวบุคคลถึงจะเลือกตั้งได้ ซึ่งพรรครีพับลิกันผลักดันกฎหมายนี้ โดยบอกว่าต้องทำแบบนี้ เพื่อป้องกันการโกงเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม พรรคเดโมแครตแย้งว่า เป็นการกดขี่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งบางกลุ่ม เช่น คนจน หรือชนกลุ่มน้อย ซึ่งส่วนมากไม่มีเอกสารประจำตัว อย่าง ใบขับขี่ มาแสดง ทำให้เสียสิทธิ์ในการเลือกตั้ง

วิธีการเลือกตั้งก็ไม่ต่างจากประเทศอื่น คือประชาชนเข้าคูหาไปกาบัตรในวันเลือกตั้ง หรือลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าหากไม่สะดวกในวันนั้น แต่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา การเลือกตั้งทางไปรษณีย์เป็นที่นิยมมากขึ้น ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในปี 2559 มีคนเลือกลงคะแนนทางไปรษณีย์ถึง 21%

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งในปีนี้มีโรคโควิด-19 มาเป็นปัจจัยเสริม นักการเมืองหลายคนเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทางไปรษณีย์มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อจากการที่ประชาชนต้องเดินทางไปเขตเลือกตั้ง แต่นายทรัมป์ออกมาแย้งว่าการเลือกตั้งทางไปรษณีย์จะทำให้มีการโกงเลือกตั้ง

shutterstock 193353437

  • ผู้เลือกตั้ง คณะผู้เลือกตั้ง

ผู้เลือกตั้ง คือ ผู้มีความรู้ความสามารถ ซึ่งให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใดคนหนึ่ง แต่ละรัฐจะคัดเลือก “ผู้เลือกตั้ง” (Electors) รวมกันเป็น “คณะผู้เลือกตั้ง” (Electoral College) ซึ่งจะทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี หลังวันเลือกตั้งทั่วไป

คนทั้งหมดนี้ต้องไม่มีตําแหน่งทางการเมือง และพวกเขาเลือกตั้งประธานาธิบดีได้เพียงครั้งเดียว ก็จะหมดหน้าที่ จึงไม่มีอิทธิพลทางการเมือง

แต่ละรัฐมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร โดยจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง มาจากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. บวกกับจำนวนวุฒิสมาชิก รัฐละ 2 คนเท่ากันหมดทุกรัฐ รวมทั้งหมดมี 538 คน  นั่นหมายถึงว่าบรรดารัฐเล็ก ๆ ที่มีจำนวน ส.ส. เพียง 1 คน ก็จะมีคณะเลือกตั้งรวม 3 คน

ดังนั้น รัฐที่มีจำนวนประชากรมากจึงมีความสำคัญมาก เพราะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ  คะแนนจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงแม้จะสำคัญ แต่สิ่งที่เป็นตัวชี้ชะตาคือ คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง

แม้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งลงคะแนนให้พรรคหนึ่ง มากกว่าอีกพรรคเป็นแสน ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะได้เป็นประธานาธิบดี ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะวิธีตัดสินผลเลือกตั้งของสหรัฐ ที่ค่อนข้างเฉพาะตัว

การเลือกตั้งทั่วไปของสหรัฐ ใช้ระบบ Winner-Takes-All หรือผู้ชนะกินรวบ ระบบนี้ใช้กับ 48 รัฐ และเขตเมืองหลวง คือ วอชิงตัน ดี.ซี. เท่านั้น ส่วนอีก 2 รัฐ คือรัฐเมนกับรัฐเนบราสกา ใช้ระบบสัดส่วน

คะแนนเสียงที่มาจากประชาชนกาบัตรเลือกตั้งให้ คือ คะแนนมหาชน หรือ Popular Vote แต่คะแนนเสียงที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ คือ คะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral Vote

ระบบ Winner-Takes-All ที่นำมาใช้ หมายความว่า ผู้สมัครที่มีคะแนนมหาชนสูงกว่าในรัฐใดรัฐหนึ่ง จะกวาดคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งในรัฐนั้นไปทั้งหมด

shutterstock 1740697532

สมมติว่ารัฐ ก. ไก่ มีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง 9 คน มีผู้มีสิทธิ์ออกเสียงมาลงคะแนน 500 คน เปิดนับคะแนนมหาชนแล้ว พรรคเอได้คะแนนเสียง 300 คะแนน พรรคบีได้ 200 คะแนน หมายถึงว่าพรรคเอชนะในรัฐ ก. ไก่ ก็จะได้คะแนนเสียงผู้เลือกตั้งไปทั้ง 9 เสียง

เมื่อรวมคะแนนทุกรัฐ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่มีคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 270 เสียงขึ้นไปก็จะได้เป็นผู้นำสหรัฐ

เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐที่มีคณะผู้เลือกตั้งจำนวนมาก อย่างรัฐแคลิฟอร์เนีย เทกซัส หรือฟลอริดา จึงเป็นรัฐที่ต้องขับเคี่ยวกันดุเดือด

หากแพ้คะแนนมหาชนเพียงคะแนนเดียวในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งมากที่สุด ก็เสียคะแนนจากคณะเลือกตั้งไปทั้ง 55 เสียง ซึ่งทำให้เกมเปลี่ยนมือได้ทันที ทั้ง 2 พรรค จึงต้องพยายามกวาดคะแนนในรัฐที่มีคณะผู้เลือกตั้งมากเข้าไว้

กรณีที่ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพ่ายคะแนนมหาชน แต่กลับได้รับเลือกเป็นผู้นำสหรัฐ เคยเกิดมาหลายครั้งแล้ว อย่างการเลือกตั้งในปี 2543 ที่ “จอร์จ ดับเบิลยู บุช” จากรีพับลิกันได้คะแนนมหาชน 50,456,002 เสียง ในขณะที่ “อัล กอร์” จากเดโมแครตได้ 50,999,897 เสียง แต่บุช ได้คะแนนเสียง จากคณะเลือกตั้งอยู่ที่ 271 ต่อ 266 เสียง จึงชนะเลือกตั้งไป ทั้งนี้ คะแนนเสียงรวมบวกกันได้ 537 เสียง หายไปเสียงหนึ่ง เพราะผู้เลือกตั้งในเมืองหลวง 1 คน ของดออกเสียง

ในทางหนึ่งก็มองได้ว่า ประธานาธิบดีไม่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง

shutterstock 1832233561

เราจะรู้ผลการเลือกตั้งเมื่อไร

หลังสิ้นสุดการนับคะแนนทั้งหมดในวันเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนแล้ว ในเดือนธันวาคม คณะผู้เลือกตั้ง จะประชุมพร้อมกันในรัฐของตนเอง และลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดี กับรองประธานาธิบดี บนบัตรเลือกตั้งที่แยกกัน ในปีนี้กำหนดให้เป็นวันที่ 14 ธันวาคม

จากนั้นภายใน 9 วัน ต้องส่งผลเลือกตั้งไปยังประธานวุฒิสภา ถัดมาก็เป็นการนับคะแนนอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 มกราคม ปีถัดจากปีเลือกตั้ง โดยประธานวุฒิสภา เป็นประธานการนับคะแนนในการประชุมสภาคองเกรส และประกาศชื่อผู้ชนะเลือกตั้ง

แต่หากนับคะแนนแล้ว ไม่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใด ได้คะแนนอย่างน้อย 270 เสียง สภาผู้แทนราษฎร จะเป็นผู้ตัดสินผู้ชนะการเลือกตั้ง และกรณีเดียวกันของผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี วุฒิสภาจะเป็นผู้ตัดสิน

แต่ในความเป็นจริง เมื่อนับผลคะแนนมหาชนในวันเลือกตั้งทั่วไปเสร็จ ภายในเช้าวันถัดมาก็สามารถรู้แล้วว่าใครชนะเลือกตั้ง

อย่างคราวที่แล้วนายทรัมป์ก็ขึ้นเวทีปราศรัยที่นครนิวยอร์ก ตั้งแต่ตอนตี 3 เพื่อประกาศชัยชนะต่อหน้ากลุ่มผู้สนับสนุน

ขั้นตอนสุดท้าย คือ การเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยในเวลาเที่ยงวันของวันที่ 20 มกราคม ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก จะเข้าพิธีสาบานตน และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ขั้นบันไดหน้าอาคารรัฐสภา ในกรุงวอชิงตันดีซี ก่อนจะเดินทางเข้าทำเนียบขาว เพื่อเริ่มภารกิจผู้นำสหรัฐ อย่างเป็นทางการ

ที่มา : บีบีซี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo