World News

เศรษฐกิจดีขึ้น!? ‘ธนาคารกลางญี่ปุ่น’ เดินหน้าขายหุ้น กลับสู่ ‘นโยบายปกติ’

นับเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัดสินใจดำเนิน ‘มาตรการแบบผิดปกติ” ด้วยการเข้าซื้อกองทุนอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อสนับสนุน “ราคาหุ้น” อย่างมีประสิทธิภาพ 

แต่สถานการณ์ดังกล่าวกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีแนวโน้มที่จะกลายเป็น “ผู้ขายหุ้นสุทธิ” ในปี 2566 เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เปิดตัวมาตรการดังกล่าวในปี 2553

ธนาคารกลางญี่ปุ่น

นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า ผลประกอบการของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ในปี 2566 ดำเนินไปได้ด้วยดี โดยที่ดัชนีนิกเคอิทะยานขึ้น 28% เพราะราคาหุ้นได้แรงหนุนจากเงินของนักลงทุนต่างชาติ และการซื้อหุ้นคืนของบรรดาบริษัทญี่ปุ่น โดยเม็ดเงินลงทุนจากภาคเอกชน ช่วยหนุนให้ราคาหุ้นสูงขึ้น แม้ว่าสถานะผู้ซื้อของบีโอเจจะลดลงก็ตาม

ตามปกติแล้ว บรรดาธนาคารกลางชาติใหญ่ ๆ จะไม่มีนโยบายสนับสนุนราคาหุ้น ซึ่งการที่บีโอเจยกเลิกมาตรการดังกล่าว จะช่วยลดการบิดเบือนราคาหุ้น และช่วยฟื้นฟูการทำงานของตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ทั้งนี้ เป็นที่เชื่อกันว่า ในปี 2566 บีโอเจ ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ขายหุ้นแล้ว จากการเทขายหุ้นของธนาคารต่าง ๆ ที่เคยซื้อมาก่อนหน้านี้ ตามนโยบายสร้างเสถียรภาพให้กับระบบการเงิน และมีแนวโน้มของการเข้าซื้อ แซงหน้าการซื้อ ETF ซึ่งลดลงอย่างมาก เนื่องจากการรักษาเสถียรภาพราคาหุ้น

การซื้อ ETF มีวัตถุประสงค์เพื่อลดแรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์ และป้องกันไม่ให้ความเชื่อมั่นของตลาดลดลง โดยตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2563 ภายใต้การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างมากนั้น บีโอเจมีมูลค่าการเข้าซื้อพุ่งขึ้นมาอยู่ระหว่าง 4 ล้านล้านเยน-7 ล้านล้านเยนต่อปี

อย่างไรก็ดี ในช่วงต้นปี 2564 ปริมาณการซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่บีโอเจดำเนินการทบทวนนโยบาย จำกัดการซื้อให้เหลือเฉพาะวันที่ราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนัก โดยมูลค่าการซื้อรายปีนับตั้งแต่ปี 2564 ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 ล้านล้านเยน และเหลือประมาณ 210,000 ล้านเยนในปี 2566

หุ้นที่บีโอเจเทขายออกมานั้น เป็นหุ้นที่ซื้อจากธนาคารต่าง ๆ ในช่วงปี 2545-2547 และช่วงปี 2552-2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเกราะป้องกันสถาบันการเงินเหล่านี้ จากผลกระทบด้านลบ ที่เกิดจากราคาหุ้นร่วงลง โดยบีโอเจกำลังจะยุตินโยบายนี้ภายใต้แผน 10 ปี ที่เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559-2568

ธนาคารกลางญี่ปุ่น

ในตอนแรก บีโอเจ มีเป้าหมายที่จะขายหุ้นที่ถือครองอยู่ ซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 3 ล้านล้านเยน ณ เวลาที่ประกาศแผนนั้น ปีละ 300,000 ล้านเยน แต่มูลค่าที่ถือครองแท้จริง เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ราว 960,000 ล้านเยน หรือเหลือให้ขายประมาณปีละ 320,000 ล้านเยน ในช่วง 3 ปีสุดท้าย ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับแผนเดิม โดยก่อนหน้านี้ บีโอเจ เริ่มขายหุ้นที่ซื้อจากธนาคารในปี 2550 แต่วิกฤติการเงินโลกในปีถัดมา บังคับให้ธนาคารต้องระงับความพยายามดังกล่าวไว้ก่อน

อย่างไรก็ดี แม้บีโอเจจะกลายเป็นผู้ขายสุทธิในปี 2566 แต่สภาพแวดล้อมของตลาดหุ้นที่ยังคงดีอยู่ ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดการตั้งคำถามถึงข้อดี และข้อเสีย ของนโยบายการซื้อ ETF อย่างต่อเนื่อง

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า แม้การเข้าซื้อจะแสดงให้เห็นถึงผลดี อย่างเช่น ช่วยป้องกันไม่ให้ความเชื่อมั่นในตลาดลดต่ำลง ในช่วงการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด แต่ถ้าหากหุ้นยังได้รับการสนับสนุนเช่นนี้ต่อไป ก็จะกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้บริหาร ที่จะสังเกตเห็นปัญหาพื้นฐานที่บริษัทเผชิญอยู่ ทั้งยังทำให้นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันขาดโอกาสในการบริหารจัดการสินทรัพย์

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg

Avatar photo