ข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง เป็นหนึ่งในคำที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เมื่อกล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นผู้นำเสนอแนวคิดนี้ในปี 2556 เพื่อบุกเบิกเส้นทางใหม่สำหรับการพัฒนาร่วมกันและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันผ่านความร่วมมือ ซึ่งประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลา 10 ปีของการพัฒนา
ข้อริเริ่มหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง (BRI) ส่งเสริมการเปิดกว้างและการเติบโตที่ครอบคลุมมากขึ้น โดยผู้นำจีนเชื่อว่าการเปิดประเทศเพิ่มเติมจะนำไปสู่ความเข้มแข็งและความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น แะเพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการต่าง ๆ ภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ในปี 2557 จีนได้ประกาศจัดตั้งกองทุนเส้นทางสายไหม (Silk Road Fund) ด้วยเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศต่าง ๆ 150 ชาติ ซึ่งมีสัดส่วนประชากรรวมกันถึง 3 ใน 4 ของโลก ได้เข้าร่วมโครงการที่ริเริ่มโดยจีนอันนี้ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีทั้งที่ประสบผลสำเร็จและล้มเหลว
ทำไมจีนถึงก่อตั้งโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
นักวิเคราะห์มองว่า แรกเริ่มเดิมทีจีนก่อตั้งโครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายที่ประเทศกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผลิตที่ล้นเกิน และค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ลอว์เรนซ์ ซี เรียร์ดอน นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวแฮมเชียร์ ในสหรัฐ อธิบายว่า จีนลงทุนข้อริเริ่มดังกล่าว โดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวน 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 80 โดยบริษัทก่อสร้างของจีน ซึ่งเผชิญกับอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลง และต่างมองหาโครงการใหม่ ๆ ในต่างประเทศ
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก้าวขึ้นสู่อำนาจในปี 2555 เขาได้ส่งเสริมโครงการสายแถบและเส้นทางเพื่อขยายตลาดให้กับสินค้าจากจีน และกระตุ้นการสร้างอิทธิพลของจีนไปยังทั่วโลก
รัฐวิสาหกิจของจีนก็เข้ามาร่วมในการลงทุนนี้ด้วย โดยหาเงินจากการลงทุนโดยกองทุนส่งเสริมการส่งออกของจีน รัฐวิสาหกิจของจีนและกองทุนส่งเสริมการส่งออกดังกล่าวได้อนุมัติโครงการหลายโครงการในประเทศซีกโลกใต้ (Global South)
จีนเลือกทำโครงการต่าง ๆ ในโลกอย่างไร
บีบีซี รายงานว่า กว่า 10 ปีที่ผ่านมา โครงการสายแถบและเส้นทางได้ขยายการลงทุนจากเดิม ที่เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไปสู่การลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย โดยจีนลงทุนในโครงการต่าง ๆ จำนวนกว่า 3,000 โครงการ ภายใต้ BRI
สถาบันอเมริกันเอ็นเตอร์ไพรส์ (AEI) ระบุว่า 15 ประเทศที่ได้รับเงินลงทุนสูงสุดจากจีน ได้แก่ อินโดนีเซีย ปากีสถาน สิงคโปร์ รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บังกลาเทศ เปรู ลาว อิตาลี ไนจีเรีย อิรัก อาร์เจนตินา และชิลี
จีนอ้างว่าการให้เงินลงทุนต่อประเทศต่าง ๆ ตั้งอยู่บนฐานความต้องการทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์แย้งว่า จีนต้องการสร้างตัวแบบที่จีนเป็นศูนย์กลาง (Sino-centric) เพื่อควบคุมโลก
ข้อมูลจากสถาบันอเมริกันเอ็นเตอร์ไพรส์ แสดงให้เห็นว่า เงินลงทุนส่วนใหญ่จากโครงการนี้ มักถูกส่งไปยังประเทศที่รัฐบาลจีนมีแรงจูงใจทางยุทธศาสตร์อย่างแรงกล้าที่จะกระชับความสัมพันธ์ด้วย อย่างเช่น อินโดนีเซีย และปากีสถาน
โครงการที่ประสบความสำเร็จ
โครงการภายใต้ข้อริเริ่ม BRI บางโครงการประสบผลดี เหตุผลนั้นก็ง่ายๆ เป็นเพราะว่าหลายประเทศต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นถนน หรือทางรถไฟ
ตัวอย่างเช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นแรกของอินโดนีเซียที่ชื่อว่า “วูช” ซึ่งเพิ่งเปิดบริการเมื่อต้นเดือนตุลาคม เส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายนี้เชื่อมต่อเมืองหลวงกรุงจาการ์ตากับเมืองบันดุง จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งร่นระยะเวลาการเดินทางจากเดิม 3 ชั่วโมงเหลือเพียง 40 นาที ด้วยความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ใน ลาว เส้นทางรถไฟเชื่อมต่อนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว ไปยังคุนหมิง ในจังหวัดยูนนานของจีน เปิดให้บริการในปี 2564 ทางรถไฟสายนี้ช่วยลดเวลาการเดินทางจากเวียงจันทน์ไปยังชายแดนลาว-จีน เหลือเพียง 3 ชั่วโมง ทำให้ผู้โดยสารเดินทางถึงเมืองคุนหมิงได้ภายในวันเดียว
นอกจากนี้ โครงการหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทางของจีน ที่ประสบความสำเร็จยังเกิดขึ้นในยุโรปด้วย เช่น ท่าเรือพิราอุสในประเทศกรีซ ซึ่งมักจะถูกขนานนามว่าเป็น “หัวมังกร” แห่งยุโรป โดยท่าเรือแห่งนี้ รัฐวิสาหกิจของจีนมีสิทธิการควบคุมอยู่กว่า 60% และสามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์จากเรือได้เป็นจำนวนมาก ๆ
โครงการที่ล้มเหลว
จูน ทอยเฟล ไดรเยอร์ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยไมอามี กล่าวว่า โครงการนี้วางแผนอย่างย่ำแย่ ทั้งยังมีการให้กู้ยืมเงินในโครงการที่ไม่มีทางคืนทุนได้ในเชิงพาณิชย์ และไม่มีการกำกับดูแลการก่อสร้างที่เพียงพอ
ท่ามกลางการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของโลก อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้บางประเทศหาเงินมาใช้หนี้คืนจีนได้ยากลำบาก หนี้จากการกู้ยืมเป็นพัน ๆ ล้านดอลลาร์กลายเป็นหนี้เสีย และโครงการพัฒนาต่าง ๆ ตกอยู่ในภาวะชะงักงัน
หนึ่งในตัวอย่างของกรณีนี้คือ โครงการท่าเรือแฮมบันโตตาในศรีลังกา ซึ่งรัฐบาลศรีลังกาประกาศสถานะล้มละลายในปี 2565 เนื่องจากประเทศศรีลังกาไม่สามารถชำระหนี้คืนให้กับจีนได้ ดังนั้นจึงให้สิทธิการใช้ประโยชน์ท่าเรือดังกล่าวกับจีนเป็นเวลา 99 ปีแทน
ส่วนปากีสถานก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์คล้าย ๆ กัน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในประเทศหลักที่รับเงินลงทุนจากจีน ตอนนี้ปากีสถานกำลังประสบปัญหาใช้หนี้คืนไม่ตรงเวลาจนต้องขอรับมาตรการบรรเทาการชำระหนี้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอ) ขณะเดียวกัน ในบางช่วงเวลา โครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติของปากีสถานต้องหยุดผลิตไฟฟ้าชั่วคราวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ จีนยังปฏิเสธการให้เงินทุนเพิ่มเติมแก่รัฐบาลปากีสถานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-ปากีสถาน โดยระบุเหตุผลเรื่องความกังวลเกี่ยวกับความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ความเสี่ยงด้านความมั่นคงต่อแรงงานชาวจีน และความน่าเชื่อถือทางการเงินของปากีสถาน
นอกจากนี้ อีกหลายประเทศอย่างเอธิโอเปีย เคนยา ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายคล้าย ๆ กัน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลกประเมินว่าเงินกู้ราว ๆ 60% ภายใต้โครงการ BRI ทั้งหมด ตอนนี้อยู่ในมือประเทศที่เผชิญความยากลำบากทางการเงิน สถานการณ์เช่นนี้นำไปสู่การวิพากษวิจารณ์ว่า วิธีการให้กู้ยืมของจีนเป็น “การทูตกับดักหนี้” (Debt trap diplomacy)
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- จีนดำเนินมาตรการมุ่งเป้า หนุนอุตสาหกรรมฟื้นตัว
- นักวิเคราะห์คาด ‘ตลาดหุ้นจีน’ ซึมยาวถึงปี 67 ‘วิกฤติอสังหาฯ’ ยืดเยื้อ กระทบเศรษฐกิจ
- จีน เริ่มให้บริการ ‘รถไฟส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ’ ขนผักผลไม้ ไป ‘ลาว-เวียดนาม’