อนาคตหุ้นโรงหนัง MAJOR หลังผ่านพ้นจุดต่ำสุด ในปี 2565 ทิศทางธุรกิจโรงภาพยนตร์ของ MAJOR ดูจะมีโอกาสกลับมาได้จริงๆ จนผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
หุ้น MAJOR หรือ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจโรงภาพภาพยนตร์อันดับ 1 ของประเทศไทย ด้วยการครองมาร์เก็ตแชร์สูงที่สุดกว่า 70% จากจำนวนโรงภาพภาพยนตร์กว่า 800 สาขาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้แก่ กัมพูชา และลาว
แต่ช่วงที่ผ่านมา “ธุรกิจโรงภาพยนตร์” ซึ่งเป็นรายได้หลักของ MAJOR ได้รับผลกระทบเต็มๆ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงภาพยนตร์ถูกสั่งปิดไปหลายช่วง ถึงแม้จะเปิดได้ก็ต้องให้บริการภายใต้ข้อจำกัดที่เข้มงวด ทั้ง ระยะเวลาเปิดบริการ การจำกัดจำนวนผู้เข้าชมต่อรอบ และต้นทุนที่สูงขึ้นจากการดูแลรักษาความสะอาดต่างๆ
เมื่อปี 2563 เป็นปีแรกที่ MAJOR เจอกับภาวะขาดทุนถึง 527 ล้านบาท จากตัวเลขรายได้ที่เหลือเพียง 3,936 ล้านบาท หายไปเกือบสามเท่าตัว จากปกติที่บริษัทมีรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2564 แม้ว่าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 1,581 ล้านบาท ทว่าเป็นผลมาจากกำไรพิเศษจากการขายหุ้น SF หรือ สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ ถ้าตัดรายการพิเศษนี้ออกไป พบว่าเป็นปีที่ MAJOR มีผลขาดทุนที่หนักหนาขึ้นด้วยซ้ำ
หุ้นโรงหนัง MAJOR เทิร์นอะราวด์ของจริง
หลังจากที่เจอผลกระทบหนักติดต่อกัน 2 ปี อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ทิศทางธุรกิจโรงภาพยนตร์ของ MAJOR ดูจะมีโอกาสกลับมาได้จริงๆ จนผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากบรรยากาศปัจจุบันประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และห้างสรรพสินค้าก็เปิดให้บริการเกือบครบ สะท้อนจากผลประกอบการไตรมาส 1/2565 บริษัทมีรายได้รวม 1,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท พลิกจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 120 ล้านบาท
สาเหตุหลักเพราะจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นจากความมั่นใจต่อมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบกับการมีภาพยนตร์ชื่อดังเข้าฉายมากขึ้น เช่น Spider-Man No Way Home, The Batman, One for the road วันสุดท้ายก่อน บายเธอ, พี่นาค 3 และ 4 Kings เป็นต้น ขณะที่กลยุทธ์เพิ่มช่องทางจัดจําหน่ายป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม นอกเหนือบริเวณโรงภาพยนตร์ ก็ค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดี
ด้วยผลประกอบการที่สดใสในไตรมาสแรก ทิศทางในอนาคตที่ผ่อนคลายขึ้น และภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ต่อคิวรอฉายจำนวนมาก จึงน่าจะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์ของ MAJOR อย่างแท้จริง จากภาพรวมผลประกอบการปี 2565 ที่กลับมาใกล้เคียงระดับปกติก่อนช่วงโควิด-19 รวมทั้งจะมีกำไรเพิ่มเติมจากการเข้าไปลงทุนใน เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (WORK) และเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) ในสัดส่วน 8.18% และ 9.70% ตามลำดับ
รวบรวมข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2565
โรงหนัง MAJOR จะกลับมามีกำไร
ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองตรงกันว่าในปี 2565 MAJOR จะกลับมามีกำไรจากผลการดำเนินงานปกติอีกครั้ง แต่บรรทัดสุดท้ายของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564 เพราะในปีก่อนบริษัทมีกำไรพิเศษเป็นจำนวนสูงถึง 1,500 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/2565 จะเป็นช่วงที่โดดเด่นสุดของ MAJOR เพราะเข้าสู่ไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และที่สำคัญตลอดทั้งปีนี้จะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ต่อคิดเข้าทำเงิน อาทิ Doctor Strange 2, Top Gun : Maverick, Jurassic World : Dominion, Lightyear, Thor : Love and Thunder, Black Panther : Wakanda Forever และ Avatar 2 เป็นต้น ซึ่งนับเป็นโมเมนตัมที่ดีมากของ MAJOR ในการโกยกำไรทุกๆ ไตรมาส เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานปีนี้ให้เติบโต
หมายเหตุ | บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำหรือแนะนำให้ซื้อ ถือหรือขายหุ้นแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘สกาลา’ โรงภาพยนตร์ในความทรงจำ เตรียมปิดตำนาน ‘ราชาโรงหนังแห่งสยาม’
- โรงหนัง ‘เมเจอร์-เอสเอฟ’ พร้อมใจปิด!! กัน ‘โควิด-19’ เปิดอีกครั้ง 1 เมษายนนี้
- ‘พารากอน’ สั่งปิดโรงหนัง 3 วัน เหตุจัดอีเวนท์ไร้เว้นระยะห่าง ตร. เรียกชี้แจง