“กูรูหุ้นไทย” แนะเทคนิค “สแกนหุ้น” ด้วย “งบการเงิน” หุ้นตัวไหนปัง หุ้นตัวไหนเหมาะสมในการลงทุนระยะยาว เช็กเลย!!
“หุ้นตัวไหนเป็นหุ้นที่ดี หรือ หุ้นตัวไหนเหมาะสมในการลงทุนระยะยาว” เชื่อว่า..นี่คือคำถามยอดฮิตที่นักลงทุนทุกคนต่างก็สงสัยกันมาโดยตลอด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากเราจะเลือกลงทุน เราก็คงดูก่อนว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีความจำเป็นกับชีวิตของคนทั่วโลกมากแค่ไหน และเทรนด์นั้นจะไปได้ไกลหรือไม่ ซึ่งหลายคนก็อาจมองว่า เท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว!
แต่ในความเป็นจริงคงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นหลายบริษัทที่แม้จะผ่านการตรวจสอบมาหลายชั้น แต่ก็ยังมีข่าวทุจริตเยอะแยะมากมาย ซึ่งบางบริษัทตรวจสอบได้ แต่บางบริษัทก็ไม่สามารถตรวจสอบได้
𝐒𝐄𝐓 𝐓𝐡𝐚𝐢𝐥𝐚𝐧𝐝 ได้เปิดบทสัมภาษณ์พิเศษ “กวี ชูกิจเกษม” Head of Research and Content จาก บลจ.หลักทรัพย์ พาย แนะกลยุทธ์เพื่อให้นักลงทุนมีสกิลในการวิเคราะห์บริษัทให้มากยิ่งขึ้น และช่วยในการคัดเลือกหุ้นได้จริง กับ เจาะเทคนิคสแกนหุ้นด้วย “งบการเงิน”
รู้จัก “งบการเงิน” ก่อน
คำว่า งบการเงิน เป็นภาพรวมใหญ่ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 5 งบด้วยกัน ได้แก่
- งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล)
- งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
- งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ
- งบกระแสเงินสด
- หมายเหตุประกอบงบการเงิน
โดยปกติแล้ว เงินที่หมุนอยู่ภายในบริษัทก็จะอยู่ในงบดุล และงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ซึ่งก็จะประกอบไปด้วยสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ กำไร และขาดทุน
อย่างสมมติว่า เราเปิดธุรกิจหนึ่งธุรกิจ โดยส่วนใหญ่ธุรกิจก็มักจะมีการกู้ยืมมา เงินส่วนนี้ก็จะถูกบันทึกบัญชีเป็นหนี้สิน ในส่วนเงินของเราก็จะถูกบันทึกเป็นส่วนผู้ถือหุ้น หลังจากที่เราได้เงินมาแล้ว เราก็จะนำเงินนั้นมาซื้อสินทรัพย์ และกลายมาเป็นสินค้าคงคลังอยู่ในบัญชี เมื่อขายได้ก็จะถูกบันทึกเป็นรายได้ หลังจากนั้นก็นำต้นทุน และค่าใช้จ่ายสินค้าต่าง ๆ มาหักออก ก็จะได้ออกมาเป็นกำไร แล้วกำไรก็จะถูกวิ่งกลับมาเข้าที่ส่วนของผู้ถือหุ้น แล้วก็ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อย ๆ นี่คืองบการเงินที่หมุนอยู่ในบริษัท
เมื่อเรารู้เรื่องของ “งบการเงิน” เบื้องต้นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อมาในมุมของนักลงทุนนั้น ก็คงอยากจะรู้ว่า เราควรจะต้องพิจารณาอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้พลาดในการเลือกหุ้น
“กวี” ได้แนะนำว่า หากเราจะดูงบการเงินจริง ๆ นอกจากจะเจาะรายละเอียดแต่ละงบแล้ว เราก็ควรที่จะนำตัวเลขในงบการเงินเหล่านั้น มาคำนวณเป็นอัตราส่วนด้วย เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมการเงินของบริษัทที่เราจะลงทุนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดย “อัตราส่วนทางการเงิน” ที่ “กวี” พูดถึง และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มักใช้กันนั้นก็จะมีด้วยกัน 3 อัตราส่วน
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อธิบายง่าย ๆ ก็คือ หนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น มากกว่า 2 เท่า แสดงว่าบริษัทมีหนี้สินค่อนข้างเยอะ
- อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E Ratio) สำหรับอัตราส่วนนี้ จะเอาหนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ไม่ควรเกิน 1.5-2 เท่า
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt) วิธีการคำนวณของอัตราส่วนนี้ เราจะนำหนี้สินที่มีภาระจ่ายดอกเบี้ย ลบด้วยเงินสดที่บริษัทมี แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น ก็จะทำให้ตัวเลขอัตราส่วนนี้ออกมา
สำหรับเหตุผลที่ต้องหักเงินสดออกไปนั้น ก็เป็นเพราะเงินสดที่บริษัทมี สามารถนำไปชำระคืนหนี้สินได้นั่นเอง ซึ่งหากบริษัทมีเงินสดมาก ก็จะทำให้การบริหารเงินสดของบริษัทนั้นได้ง่ายขึ้น รวมถึงหากจะขยายธุรกิจ ก็ไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มอีกด้วย
ทำให้อัตราส่วนนี้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลขที่สามารถแสดงฐานะทางการเงินได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังบ่งบอกได้ถึงความสามารถในการจัดการการเงินของบริษัทนั้น ๆ ได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า แต่ละอุตสาหกรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน หากจะเปรียบเทียบก็ให้เลือกกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันเป็นหลัก
แต่สำหรับการวิเคราะห์เพื่อเลือกลงทุนในหุ้น โดยใช้เพียงแค่ 3 อัตราส่วนที่กล่าวไปนั้น “กวี” มองว่าอาจยังไม่เพียงพอ เพราะยังมีอีกหนึ่งตัวเลขที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามีความสำคัญ และถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยคัดกรองหุ้นให้กับเราได้อย่างดีมาก ๆ ซึ่งหากเราสังเกตดูดี ๆ จากตัวเลขเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้เราเห็นถึงศักยภาพของบริษัท หรือไม่ก็อาจเห็นถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของบางบริษัทด้วยก็เป็นได้
สิ่งที่ “กวี” กำลังพูดถึงนี้ก็คือ “ตัวเลขของวงจรเงินสด”
โดยคำว่า “วงจรเงินสด” ก็คือ จำนวนวันที่บริษัทจะได้รับเงินสดจากการดำเนินงาน หรือเป็นจำนวนวันที่บริษัทจะต้องบริหารเงินสดให้ใช้ได้ภายในวันที่กำหนด สำหรับเกณฑ์ตัวเลขวงจรเงินสดนี้ ไม่ได้เจาะจงมากนัก แต่ก็ควรอยู่ในระดับที่ต่ำ ยิ่งต่ำก็จะยิ่งดี หรือหากติดลบด้วยก็จะยิ่งดีมาก ๆ เพราะนั่นจะหมายความว่า บริษัทนี้จะมีสภาพคล่องที่สูง และมีเงินสดมาใช้หมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจได้อย่างเพียงพอนั่นเอง
แต่หากวงจรเงินสดนั้นมีจำนวนวันที่นานเกินไป ก็อาจหมายความได้ว่า บริษัทจะต้องบริหารเงินสดที่มี ให้ใช้ได้ตามจำนวนวันที่คำนวณออกมา ซึ่งหากไม่สามารถบริหารเงินสดให้เพียงพอได้นั้น ก็อาจทำให้ธุรกิจได้รับความเสียหายได้
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า…แล้ววิธีการคำนวณ “วงจรเงินสด” ทำอย่างไร ?
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า “วงจรเงินสด” นี้ ประกอบไปด้วย 3 ระยะเวลา ได้แก่
ระยะเวลาขายสินค้า (วัน) + ระยะเวลาเก็บหนี้ (วัน) – ระยะเวลาจ่ายหนี้ (วัน)
1. ระยะเวลาขายสินค้า (วัน) ก็คือ ระยะเวลาตั้งแต่บริษัทเริ่มสั่งวัตถุดิบ ผลิตสินค้าออกมาขาย จนขายสินค้านั้นออกไปได้ สินค้านั้นใช้ระยะเวลากี่วัน หรืออธิบายสั้น ๆ ก็คือ บริษัทนี้ใช้ระยะเวลากี่วันก่อนที่จะขายสินค้าได้ ดังนั้น ถ้ายิ่งขายสินค้าได้เร็ว ก็จะยิ่งดี
สำหรับวิธีการคำนวณ “ระยะเวลาขายสินค้า” ก่อนอื่นเราจะต้องคำนวณ “อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ” ก่อนว่า ปีหนึ่งสินค้าคงคลัง บริษัทหมุนเวียนกี่วัน
วิธีการคำนวณคือ เอาต้นทุนขาย หรือก็คือ วัตถุดิบที่บริษัทซื้อมา หารด้วยค่าเฉลี่ยสินค้าคงคลังที่บริษัทเก็บไว้ ซึ่งค่าเฉลี่ยก็คือ การนำสินค้าคงคลังของปีนี้ บวกกับปีที่แล้ว หารด้วยสอง
พอคำนวณออกมาได้ ก็จะรู้แล้วว่าต้องหมุนสินค้าคงคลังกี่รอบในหนึ่งปี เพื่อที่บริษัทจะสามารถจ่ายเงินให้กับซัปพลายเออร์ได้ แล้วก็นำตัวเลขนั้นมาหารด้วย 365 ก็จะได้เป็นจำนวนวันออกมา
2. ระยะเวลาเก็บหนี้ จากลูกหนี้การค้า (วัน) ความหมายคือ ระยะเวลาที่บริษัทผลิตสินค้าเสร็จแล้ว ขายออกไปหรือส่งออกให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว วางบิลเรียบร้อย แต่ยังเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นระยะเวลานี้จะกินเวลากว่าที่บริษัทจะได้เงินสดมา ดังนั้นถ้ายิ่งเก็บเงินหนี้ได้เร็ว ก็จะยิ่งดีต่อบริษัท
สำหรับวิธีการคำนวณ “ระยะเวลาเก็บหนี้” เมื่อบริษัทขายของออกไปได้แล้ว เราจะต้องใช้รายได้ในการคำนวณ ต่างจากระยะเวลาขายสินค้า ที่เราใช้ต้นทุนขายในการคำนวณ
ซึ่งเหมือนเดิมเลยคือเราจะต้องคำนวณ “อัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้า” ก่อน โดยนำ รายได้ หารด้วยค่าเฉลี่ยลูกหนี้การค้า เพื่อดูว่าเราต้องใช้เวลากี่รอบในการสร้างรายได้ให้เรา หลังจากนั้นก็เอาตัวเลขนี้มาหารด้วย 365 ก็จะได้เป็นจำนวนวันออกมาเป็น ระยะเวลาเก็บหนี้ (วัน)
3. ระยะเวลาชำระหนี้ ให้กับเจ้าหนี้การค้า (วัน) อธิบายคือ กว่าที่เราจะต้องจ่ายเงินให้กับซัปพลายเออร์ที่มาส่งของให้กับเรา ใช้ระยะเวลากี่วัน โดยระยะเวลาในการชำระหนี้นี้ ยิ่งช้าก็จะยิ่งดี
สำหรับวิธีการคำนวณ เราจะต้องหา “อัตราหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า” ก่อน ซึ่งเนื่องจากเจ้าหนี้ก็คือ บริษัทที่ผลิตวัตถุดิบให้กับเรา นำมาใช้ในการผลิตสินค้า ดังนั้น วิธีการคำนวณ เราจะนำต้นทุนขาย หารด้วยค่าเฉลี่ยเจ้าหนี้การค้า แล้วนำเอาผลลัพธ์นั้นมาหารด้วย 365 เหมือนเดิม ก็จะได้ระยะเวลาชำระหนี้ออกมา
และเมื่อเราหาตัวเลขระยะเวลาทั้งของสินค้า ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ ได้แล้ว ก็นำมาบวกลบกัน ดังสมการ ระยะเวลาขายสินค้า (วัน) + ระยะเวลาเก็บหนี้ (วัน) – ระยะเวลาจ่ายหนี้ (วัน) ก็จะทำให้เราได้วงจรเงินสดออกมา
เพียงแค่เราสามารถคำนวณวงจรเงินสดได้อย่างถูกต้อง เท่านี้ก็ช่วยให้เราสามารถคัดเลือกหุ้นได้ไม่พลาดแล้ว
เพื่อให้เห็นว่าการเข้าใจวงจรเงินสดนั้น มีประโยชน์มากแค่ไหน “กวี” ได้ยกตัวอย่างเคสบริษัทสายไฟที่เพิ่งออกจากตลาดหุ้นไปอย่าง STARK โดยเราจะเห็นได้เลยว่า ตัวเลขงบการเงินของ STARK นั้น มีความผิดปกติตั้งแต่ปี 2564 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อผู้ถือหุ้น ปี 2564 สูงถึงเกือบ 5 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลบด้วยเงินสดแล้ว ก็ยังสูงถึง 2 เท่า ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก เป็นสัญญาณที่ไม่ควรเข้าซื้ออย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ “กวี” อยากให้ดูจริง ๆ ก็คือเรื่องของวงจรเงินสดของ STARK ที่มีตัวเลข ระยะเวลาสินค้าคงเหลือสูงถึง 173 วัน ซึ่งหมายถึงว่า กว่าจะขายได้ ต้องใช้เวลาถึง 173 วัน ถือเป็นเวลาที่ค่อนข้างนานมาก ส่วนระยะเวลาในการเก็บเงินลูกหนี้ ก็นานเกินไปด้วยเช่นกัน
จากทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า เมื่อเราเริ่มสังเกตไปที่วงจรเงินสด ก็จะทำให้เราเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดได้ไม่ยาก และทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงหุ้นที่เป็นดังเช่น STARK นี้ได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งงบที่ “กวี” ก็แนะนำให้ดูเช่นกัน ก็คือ “งบกระแสเงินสด” ซึ่งมี 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่
- กระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงาน
- กระแสเงินสดที่ได้จากการลงทุน
- กระแสเงินสดที่ได้จากการจัดหาเงิน
ซึ่งหากตัวเลขปรากฏเป็นลบ แสดงว่าเงินออก และหากตัวเลขเป็นบวก ก็แสดงว่าเงินเข้า
โดยตัวเลขกระแสเงินสดนี้ เกิดขึ้นจากการทำธุรกิจ เช่น บริษัทเก็บเงินได้จากลูกค้า อันนี้จะเรียกว่า กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งตัวเลขนี้ยิ่งเป็นบวกก็ยิ่งดี แสดงว่าบริษัททำธุรกิจเก็บเงินได้ไว ตัวเลขนี้ไม่ควรติดลบ ถ้าติดลบเพียงไตรมาสใดไตรมาสหนึ่งตลอด อาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นช่วง Seasonal แต่ถ้าติดลบติด ๆ กัน 2-3 ไตรมาส แบบนี้เราอาจจะต้องตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนได้เลยว่า ผิดปกติ
ต่อมา หากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ แน่นอนว่าบริษัทก็จำเป็นต้องจัดหาเงิน ก็ต้องไปหาธนาคารเพื่อขอกู้ ก็ทำให้ตัวเลขกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะตัวเลขนี้ควรจะต่ำถึงจะยิ่งดี และหากตัวเลขนี้ยิ่งเป็นลบ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะแสดงได้ว่าบริษัทมีเงินสดที่เพียงพอในการขยายธุรกิจ โดยไม่จำเป็นต้องกู้ยืมใด ๆ เลย
ในส่วนของกระแสเงินสดจากการลงทุน โดยปกติแล้วบริษัทจะต้องมีการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ ดังนั้น ธรรมชาติของกระแสเงินสดจากการลงทุนก็จะติดลบ เพราะทุกบริษัทต่างก็ต้องลงทุน เพื่อสร้างรายได้นั่นเอง
สุดท้ายสิ่งที่ “กวี” อยากจะฝากกับนักลงทุนทุกคนไว้เพิ่มเติม เพราะสำหรับบางบริษัท เราอาจไม่สามารถดูได้ผ่านงบการเงิน โดยสิ่งที่คุณกวีอยากให้ตั้งข้อสังเกตไว้ ก็คือ
1. ระวังหุ้น IPO
เนื่องจากหุ้นที่เพิ่ง IPO จะมีงบการเงินย้อนหลังเพียงแค่ 3 ปี เท่านั้น และหุ้นที่จะเข้า IPO ได้ก็ต้องมีงบที่ดี ตัวเลขที่สวย บางบริษัทอาจตกแต่งบัญชีได้ หรือมีการปรับโครงสร้างบริษัท เพราะหากตัวเลขงบการเงินไม่สวย ก็จะไม่สามารถเข้าตลาดได้ หากเล่นในรูปแบบเก็งกำไร อาจไม่เป็นไรนัก แต่หากลงทุนระยะยาว อาจต้องศึกษาให้ดีและระวังให้มาก
2. ระวังหุ้น Backdoor
ปกติแล้วหากจะเข้าตลาดได้ เราจะต้องมีการตรวจสอบที่เข้มงวด แล้ว IPO เข้ามา แต่ก็จะมีบางบริษัทที่สามารถเข้ามาในตลาดได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้อง IPO เราจะเรียกหุ้นนี้ว่า หุ้น Backdoor คือการเข้าไปซื้อกิจการคนอื่น แล้วเอาบริษัทตัวเองเข้าไปแทนในนั้น ไม่ผ่านการตรวจสอบใด ๆ ให้ระวังหุ้นลักษณะนี้ไว้ให้ดี
3. หุ้นที่มีประวัติผู้ถือหุ้นไม่ดี
เวลาเข้าไปค้นหาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้เราสังเกตรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ อาจจะเช็กประวัติของผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นเยอะ ๆ ว่าเขาคือใคร เคยทำธุรกิจอะไรมาบ้าง ธุรกิจของเขาถูกต้อง ถูกหลัก หรือถูกกฎหมายหรือไม่
4. ระวังธุรกิจที่ผู้บริหารออกมาเชียร์หุ้นตัวเองมากเกินไป
โดยปกติแล้วผู้บริหารก็ต้องพูดสิ่งดี ๆ ของบริษัทอยู่แล้ว แต่หากออกมาพูดมากไป หรือเชียร์มากไปว่าโตแน่ปีหน้า มีกำไรแน่นอน แบบนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ไม่ควรเชื่อมากจนเกินไป
5. ระวังธุรกิจที่ซื้อกิจการที่ไม่เกี่ยวข้อง
หากบริษัททำธุรกิจหนึ่ง และเข้าไปซื้อกิจการหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม แบบนี้ถือว่ามีความเสี่ยง เพราะเจ้าของธุรกิจนั้นอาจไม่ได้เข้าใจถึงพื้นฐานการทำธุรกิจนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง ควรหลีกเลี่ยงธุรกิจประเภทนี้ อย่างเช่น ปกติบริษัททำธุรกิจเครื่องถ่ายเอกสาร แล้วหันไปทำธุรกิจโรงไฟฟ้า ต่อด้วยธุรกิจโรงแรม เป็นต้น
สุดท้ายสิ่งที่ “กวี” อยากจะฝาก และเน้นย้ำกับนักลงทุนเสมอก็คือ “อย่าเชื่อนักวิเคราะห์ทั้งหมด แต่ให้เราคำนวณด้วยตัวของเราเองด้วย”
และทั้งหมดนี้ก็คือ “เทคนิคการสแกนหุ้น” ที่จะทำให้เราไม่พลาดเลือกหุ้นที่ไม่ดีเข้าพอร์ตของเรา ที่สำคัญคือใช้ได้จริง และคำนวณไม่ยากด้วย โอกาสเติบโตของพอร์ตการลงทุนของเราอยู่ไม่ไกลแล้ว จำเทคนิคนี้ให้ขึ้นใจ แล้วนำไปใช้กันได้เลย!
ขอบคุณ : 𝐒𝐄𝐓 𝐓𝐡𝐚𝐢𝐥𝐚𝐧𝐝
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ขาหุ้นมามุง!! ‘กูรู’ เปิดเทคนิคดูงบการเงินหุ้นกลุ่มน้ำมัน ช่วงราคาน้ำมันผันผวน
- ระเบิดเวลาในงบการเงิน ดูได้จากอะไร?
- นักลงทุนต้องรู้!! ‘กูรู’ แนะอ่านจุดเสี่ยง ในงบการเงิน