จากกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องถึงระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น หลังธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มคงนโยบายดอกเบี้ยสูงเป็นเวลานาน (Higher for Longer) ส่งผลให้ Bond Yield พุ่งทะลุ 5% สูงสุดในรอบ 16 ปี
ประกอบกับการที่ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมีความผันผวนและมีทิศทางไหลออกจากประเทศไทย โดยข้อมูลการซื้อขายแยกตามกลุ่มผู้ลงทุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย ทั้งกระดาน SET และ mai นับตั้งแต่ต้นปีรวมกว่า 1.55 แสนล้านบาท แม้ประเด็นการเมืองในประเทศจะคลี่คลาย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะสร้างความหวังให้กับนักลงทุนไทยก็ตาม
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินเงินบาทยังคงมีทิศทางอ่อนค่าจากความเป็นไปได้ที่ FED จะคงดอกเบี้ยไว้นานกว่าที่คาด ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ทำให้มีการนำเข้าเพิ่ม ซึ่งตลาดมองว่าอาจกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย
แต่คำถามสำคัญคือการที่การที่เงินบาทอ่อนแรงแบบนี้ จะมีหุ้นกลุ่มไหนบ้างที่ได้รับประโยชน์จากค่าเงิน ทั้งนี้่ บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ เปิดโผหุ้นได้-เสียประโยชน์ หลังค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่ารุนแรง ดังนี้
หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทอ่อนค่า”
1. หุ้นกลุ่มเกษตรและอาหาร ที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยหุ้นเหล่านี่้หากเงินบาทอ่อนค่า 1 บาท จะส่งผลต่อกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น ดังนี้ ITC +10%, AAI +10%, TU +7%, SUN +3% และ PLUS +2%
2. หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออกต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่าลง 1 บาท จะส่งผลต่อกำไรเพิ่มขึ้น คือ KCE +6% และ HANA +5%
3. หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งจะได้อานิสงส์ทำให้คนต่างชาติสนใจมาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ายุโรปและสหรัฐ ที่ใกล้เข้าสู่ช่วงพีคของฤดูท่องเที่ยว โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์เรียงตามลำดับ ได้แก่ ERW (สัดส่วนรายได้ในไทย 88%), CENTEL (สัดส่วนรายได้ในไทย 80%) และ AOT จะได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
4. หุ้นอุตสาหกรรมอื่นที่ได้ผลกระทบเชิงบวกจากค่าเงินบาทอ่อน โดยเป็นบริษัทที่ธุรกิจมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก หากเงินบาทอ่อนค่า 1 บาท จะส่งผลต่อกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น ดังนี้ MEGA +5%, EPG +3-4% และ BANPU จะส่งผลบวกต่อกำไรประมาณ 13 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี มองว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์และมีโอกาส outperform มากที่สุด คือ AAI หรือ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เพราะมีสัดส่วนรายได้ส่งออกสูงถึง 96% และต้นทุนส่วนใหญ่เป็นเงินบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้วในครึ่งปีแรก และ TU หรือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ส่งออกสูงถึง 96% และต้นทุน 60-70% เป็นเงินบาท
ส่วนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ประกอบไปด้วย
1. กลุ่มสายการบิน เพราะมีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์เป็นจำนวนมาก
2. กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมี negative net exposure ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินบาท ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก unrealized fx loss
3. กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้มีการบันทึก unrealized fx loss เข้ามา
4. กลุ่มค้าส่งสินค้าไอที จากการนำเข้าสินค้าโดยใช้เงินสกุลดอลลาร์ เท่ากับว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลลบด้านต้นทุน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปิดโผ 5 หุ้นเด่น คัดเน้นๆ โดยสมาคมนักวิเคราะห์
- ลุ้นหุ้นไตรมาส 4 พลิกกลับเป็นขาขึ้น แนวต้าน 1,550 จุด ส่อง 7 หุ้นเด่นน่าลงทุน
- ส่อง 8 หุ้นเด่นเดือนตุลาคม พร้อมปรับเป้าหมายดัชนีเป็น 1,535 จุด
