“GULF” รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2566 กำไรจากการดำเนินงาน โต 13% แรงหนุนจากธุรกิจพลังงาน และส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH
วันนี้ (15 พ.ค.) บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 โดยมีรายได้รวม 29,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จาก 22,453 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2565 และมีกำไรจากการดำเนินงานที่ 3,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จาก 3,257 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ปัจจัยหลักมาจากการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ครบทั้ง 4 หน่วย (รวม 2,650 เมกะวัตต์) ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2564-2565 เทียบกับในไตรมาส 1/2565 ที่รับรู้รายได้ และกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC เพียง 2 หน่วย (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ส่งผลให้กลุ่ม IPD มี Core Profit เท่ากับ 1,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 550 ล้านบาท หรือ 58% YoY
อีกปัจจัยหนึ่งมาจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีรายได้ และกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนที่ขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรม สาเหตุหลักมาจากราคาขายไฟฟ้าเฉลี่ยที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ ประกอบกับค่า Ft เฉลี่ยสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า ที่ไม่ใช่ประเภทบ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น
โดยค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 441.56 บาทต่อล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2565 มาเป็น 496.39 บาทต่อล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2566 และค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 0.0139 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็น 1.5492 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ในไตรมาส 1/2566
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) มีกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก 36 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2565 มาเป็น 103 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2566 หรือเติบโตขึ้น 188% เนื่องจากต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงจาก 1,120 บาทต่อตัน เป็น 963 บาทต่อตัน
อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่ม GJP ในไตรมาส 1/2566 เท่ากับ 428 ล้านบาท ลดลง 31% ต่อปี สาเหตุหลักมาจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ IPP 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้ากัลฟ์ หนองแซง (GNS) และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ อุทัย (GUT) ที่ได้รับอัตราค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment Rate) ลดลงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
ในไตรมาส 1/2566 GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน ของ INTUCH จำนวน 1,247 ล้านบาท โตขึ้น 13% จาก 1,100 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ AIS และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน จากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ DIPWP ในประเทศโอมาน จำนวน 150 ล้านบาท ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จครบทั้ง 326 เมกะวัตต์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566
นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานเต็มไตรมาส จากโครงการที่เข้าลงทุนในปี 2565 ได้แก่
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation จำนวน 282 ล้านบาท
- โครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะเพื่อขนถ่ายสินค้าเหลว Thai Tank Terminal จำนวน 73 ล้านบาท
- THCOM จำนวน 63 ล้านบาท
ปัจจัยที่กล่าวข้างต้น สามารถชดเชยส่วนแบ่งกำไรที่ลดลง ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งในเดือนธันวาคม 2565 GULF ได้จำหน่ายหุ้น 50.01% ที่ถือใน BKR2 Holding บริษัทที่ถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้า BKR2 ให้แก่ Keppel Group ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2566 มีส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลดลง
ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 1/2566 เท่ากับ 8,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับ 7,075 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2565
อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 28.0% เทียบกับ 31.5% ในไตรมาส 1/2565 โดยเหตุผลหลักมาจากกำไรของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ที่ลดลงภายหลังจากที่จำหน่ายหุ้นใน BKR2 Holding ออกไปเมื่อเดือนธันวาคม 2565
กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 1/2566 (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 3,850 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจาก 34.73 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 4/2565 เป็น 34.26 บาทต่อดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 โดยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว เป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด และผลประกอบการของบริษัทแต่อย่างใด
นับถึงวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.62 เท่า สูงขึ้นจากระดับ 1.56 เท่า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จากการออกหุ้นกู้จำนวน 20,000 ล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2566 เพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้บางส่วน รวมถึงได้เบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF คาดการณ์ว่า ในปี 2566 รายได้รวมจะเติบโตประมาณ 50% จากโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการในปี 2566 ซึ่งยังเป็นไปตามแผน
โดยโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ภายใต้กลุ่ม IPD หน่วยที่ 1 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 และหน่วยที่ 2 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 มีกำหนดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 90-100 เมกะวัตต์ในปีนี้
นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation (1,200 เมกะวัตต์) ที่สหรัฐ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ส่งผลให้กำลังการผลิตในปี 2566 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2,900 เมกะวัตต์ เมื่อเทียบกับปี 2565
สำหรับแผนธุรกิจของ GULF ในปี 2566 จะเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 40% ภายในปี 2578 ซึ่งจะมาจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม และการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป และอังกฤษ
นางสาวยุพาพิน เปิดเผยด้วยว่า ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ยังเป็นไปตามแผนที่กำหนด โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 มีกำหนดจะถมทะเลแล้วเสร็จ และจะเริ่มก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) ในปี 2567
ส่วนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 มีกำหนดจะเปิดดำเนินการท่าเทียบเรือ F1 และ F2 ในปี 2569 และปี 2573 ตามลำดับ ในส่วนของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และบางใหญ่ – กาญจนบุรี (M81) นั้น มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568
นอกจากนี้ ความคืบหน้าของธุรกิจดิจิทัลยังเป็นไปตามแผน โดยคาดว่า ธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ที่ลงทุนร่วมกับไบแนนซ์ จะได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในเดือนมิถุนายน 2566 และอาจเปิดดำเนินการซื้อขายภายในสิ้นปีนี้
สำหรับธุรกิจศูนย์ข้อมูล ที่ร่วมลงทุนกับ Singtel และ AIS นั้น มีแผนที่จะเริ่มก่อสร้างในกลางปีนี้ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2568
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘GULF’ ประสบความความสำเร็จ ออกครั้งแรก ‘กรีน บอนด์’ 8 พันล้านบาท ต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาด
- ทุบสถิติ! GULF ทำกำไรปี 65 พุ่ง 37% ทะลุ 1.2 หมื่นล้านบาท
- GULF จับมือ Singtel และ AIS เดินหน้าก่อสร้าง ‘โครงการดาต้าเซ็นเตอร์’