บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น DELTA หลังจากที่ประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2566 ออกมาในช่วงเย็นของวันที่ 26 เมษายน 2566 พอเปิดตลาดเช้าวันถัดมาก็ถูกเทขายต่อเนื่อง จนราคาหุ้นร่วงแรงไปกว่า -16% ปิดตลาดที่ 748 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าที่หายไป 1.84 แสนล้านบาท และยังกดดันให้ดัชนี SET ดิ่งตามไปด้วยกว่า 12 จุด หรือ -0.82%
แม้ดูจากงบที่ประกาศออกมา เผินๆ ก็เหมือนว่า DELTA ยังสามารถเติบโตได้ดี โดยบริษัทมีรายได้จากการขายไตรมาส 1/2566 จำนวน 32,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยความต้องการของลูกค้าที่สูงขึ้น ในกลุ่มโซลูชันสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle Solutions) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ สำหรับภาคอุตสาหกรรม (Industrial Automation) ขณะที่กลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน (Fan & Thermal Management) มีอัตราการเติบโตในระดับปานกลาง เช่นเดียวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ Cloud Storage และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center ซึ่งมียอดขายเติบโตจากปีก่อนหน้า
แต่สิ่งที่เป็นคำถามคาใจนักลงทุน คือกำไรในไตรมาส 1/2566 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 กลับปรับลดลง 14% ต่ำกว่าตลาดคาด 5-10% เพราะการชะลอตัวลงจากปัจจัยกดดันของสภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีและองค์กรเพิ่มความระมัดระวังในการบริหารเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
จุดนี้ทำให้ตลาดมองว่า กำไรของ DELTA เติบโตไม่ทันกับราคาหุ้นที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ ซึ่งการที่กำไรเพิ่มขึ้น YoY ก็มาจากฐานที่ต่ำมากกว่า แต่เมื่อวัด QoQ แล้วกลับมีแนวโน้มอ่อนแอลงด้วยซ้ำ โดยหลายคนมองว่าขณะนี้ DELTA มีราคาที่แพงเกินไป และยังไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของ DELTA Taiwan นั้นสูงกว่า DELTA Thailand ถึง 3 เท่า แต่มูลค่า Market Cap. ของ DELTA Taiwan กลับเล็กกว่าของ DELTA Thailand ถึง 1.5 เท่า เรียกว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างย้อนแย้งในตัวเลขทางการเงิน
นักวิเคราะห์ บล.ธนชาต เผยหลังการประชุมนักวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น DELTA ปรับลดลงหลังกำไรไตรมาส 1/66 ต่ำกว่าคาด จากรายได้และอัตรากำไรที่อ่อนแอ ทางเรามองว่ายอดคำสั่งซื้อในธุรกิจ Data Center น่าจะดีขึ้นในไตรมาส 2/66 แต่ไม่มาก และมีความกังวลว่าลูกค้ารายใหญ่อาจจะชะลอคำสั่งซื้อ ส่วนด้านธุรกิจ EV แม้เติบโตดี แต่ก็มีความกังวลว่ายอดขายรถ EV ที่อ่อนตัวลง
ดังนั้น จึงคงคำแนะนำ “ขาย” DELTA ที่ราคาหุ้นพื้นฐาน 590 บาท เหตุผลคือการมองว่ามูลค่าแพง และมี downside ต่อตัวเลขประมาณการในอนาคต
นักวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปเทรดในระดับ 800-900 บาท ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ราว 618 บาท ทำให้ผลประกอบการที่จะหนุนให้ราคาหุ้นสามารถยืนได้นั้นต้องอยู่ในระดับสูงตามไปด้วย ประกอบกับ DELTA กำลังจะเทรดพาร์ใหม่ที่ 0.10 บาท ซึ่งปกติหุ้นที่มีการแตกพาร์ ราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นก่อนวันเทรดพาร์ใหม่และจะปรับตัวลดลงหลังเทรดพาร์ใหม่ ทำให้นักลงทุนอาจขายเพื่อล็อกกำไรออกมา
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ DELTA ที่ปรับตัวขึ้นในปีก่อนมาจาก 2 ปัจจัยหนุน หนึ่งคือแนวโน้มผลประกอบการที่ฟื้นตัว และสองคือแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันหลัง DELTA ได้คัดเลือกเข้าคำนวณใน SET50 ซึ่งปี 2566 จะไม่มีแรงซื้อสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบันเข้ามาแล้ว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เจาะงบโค้งแรก 10 ธนาคารไทย กำไรโตแต่ตั้งสำรองสูง
- สถิติ ‘หุ้นแตกพาร์’ ราคารุ่งหรือร่วง!!
- ’10 อันดับหุ้น’ ราคาขึ้น-ลงสูงสุด ตั้งแต่ต้นปี 2566
