Stock

‘ดาวโจนส์’ ปิดลบ 73.55 จุด จบปี 65 ร่วงหนักสุดในรอบ 14 ปี

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (30 ธ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ลดลงกว่า 70 จุด ถือเป็นการปิดฉากวันซื้อขายสุดท้ายของปี 2565 และเป็นปีที่ตลาดร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 ผลกระทบจากหลายปัจจัย รวมถึง การขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 33,147.25 จุด ลดลง 73.55 จุด หรือ -0.22% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,839.50 จุด ลดลง 9.78 จุด หรือ -0.25% และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 10,466.48 จุด ลดลง 11.61 จุด หรือ -0.11% โดยตลอดทั้งปี 2565 ดาวโจนส์ร่วงลง 8.8% เอสแอนด์พี 500 ร่วง 19.4% และดัชนีแนสแด็ก ร่วง 33.1%

ดัชนีทั้ง 3 ตัวปิดตลาดร่วงลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2565 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561 โดยถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 80 และเป็นปีที่ตลาดหุ้นร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีน

ดาวโจนส์

นักวิเคราะห์ด้านการลงทุน ของซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ชระบุว่า ตลาดถูกกดดันจากปัจจัยลบต่าง ๆ อาทิ ภาวะชะงักงันด้านห่วงโซ่อุปทานที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563, การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบต่าง ๆ ได้แก่ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงภาวะถดถอย, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงสงครามยูเครน ตลอดจนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในจีน และความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน

หุ้นเติบโต (growth stocks) เผชิญแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเกือบตลอดทั้งปี 2565 และปรับตัวย่ำแย่กว่าหุ้นคุณค่า (value stocks) ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็นแนวโน้มที่พลิกผันจากที่เคยดำเนินมาเป็นส่วนใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นแอปเปิ้ล, อัลฟาเบท, ไมโครซอฟท์, อินวิเดีย, แอมะซอน และเทสลา เป็นหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักราว 28-66% ในปี 2565

หุ้นเติบโตในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงราว 30.5% ในปีนี้ ขณะที่หุ้นคุณค่า ลดลง 7.7% โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงและผลประกอบการที่มั่นคง อาทิ กลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น 58% ในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น

หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีนี้ โดยดิ่งลงกว่า 40%

บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 ท่ามกลางความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ดาวโจนส์

อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้ทำให้เกิดความวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยอาจยังคงปรับขึ้นต่อไป แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงได้เพิ่มความหวังเกี่ยวกับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ตลาดการเงินคาดว่า มีโอกาส 65% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.พ. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ 4.97% ในช่วงกลางปี 2566

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 2 มกราคม  2566 เนื่องในวันปีใหม่ และจะเปิดทำการตามปกติในวันที่ 3 มกราคม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo