ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ปิดซื้อขายวานนี้ (30 ธ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ลดลงกว่า 70 จุด ถือเป็นการปิดฉากวันซื้อขายสุดท้ายของปี 2565 และเป็นปีที่ตลาดร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 ผลกระทบจากหลายปัจจัย รวมถึง การขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 33,147.25 จุด ลดลง 73.55 จุด หรือ -0.22% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,839.50 จุด ลดลง 9.78 จุด หรือ -0.25% และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 10,466.48 จุด ลดลง 11.61 จุด หรือ -0.11% โดยตลอดทั้งปี 2565 ดาวโจนส์ร่วงลง 8.8% เอสแอนด์พี 500 ร่วง 19.4% และดัชนีแนสแด็ก ร่วง 33.1%
ดัชนีทั้ง 3 ตัวปิดตลาดร่วงลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2565 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561 โดยถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 80 และเป็นปีที่ตลาดหุ้นร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีน
นักวิเคราะห์ด้านการลงทุน ของซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ชระบุว่า ตลาดถูกกดดันจากปัจจัยลบต่าง ๆ อาทิ ภาวะชะงักงันด้านห่วงโซ่อุปทานที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563, การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบต่าง ๆ ได้แก่ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงภาวะถดถอย, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงสงครามยูเครน ตลอดจนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในจีน และความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน
หุ้นเติบโต (growth stocks) เผชิญแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเกือบตลอดทั้งปี 2565 และปรับตัวย่ำแย่กว่าหุ้นคุณค่า (value stocks) ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็นแนวโน้มที่พลิกผันจากที่เคยดำเนินมาเป็นส่วนใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นแอปเปิ้ล, อัลฟาเบท, ไมโครซอฟท์, อินวิเดีย, แอมะซอน และเทสลา เป็นหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักราว 28-66% ในปี 2565
หุ้นเติบโตในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงราว 30.5% ในปีนี้ ขณะที่หุ้นคุณค่า ลดลง 7.7% โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงและผลประกอบการที่มั่นคง อาทิ กลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น 58% ในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีนี้ โดยดิ่งลงกว่า 40%
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 ท่ามกลางความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้ทำให้เกิดความวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยอาจยังคงปรับขึ้นต่อไป แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงได้เพิ่มความหวังเกี่ยวกับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ตลาดการเงินคาดว่า มีโอกาส 65% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.พ. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ 4.97% ในช่วงกลางปี 2566
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2566 เนื่องในวันปีใหม่ และจะเปิดทำการตามปกติในวันที่ 3 มกราคม
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ตลาดหุ้นโลก’ ส่อแววฟื้นตัวปี 66 อานิสงส์ ‘เงินเฟ้อ’ ผ่านจุดพีค ‘เฟด’ ชะลอความแรงขึ้นดอกเบี้ย
- หุ้นไทยก็ไม่รอด! ‘เจพี มอร์แกน’ มอง ‘หุ้นอาเซียน’ ผันผวนหนักปี 66 เหตุ ‘ดีมานด์’ ต่างประเทศชะลอตัว
- เยลเลน’ คาด ‘เงินเฟ้อ’ สหรัฐชะลอตัวชัดเจนปีหน้า มั่นใจเลี่ยงภาวะ ‘เศรษฐกิจถดถอย’ ได้