“กสิกรไทย” แจ้งผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2564 กำไร 28,151 ล้านบาท ระบุ ธนาคาร ประเมินสถานการณ์-เตรียมความพร้อมต่อเนื่อง รับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด ขณะ “ขัตติยา” มอง เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นได้บางส่วน ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
วันนี้ (21 ต.ค.) นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2564 ได้รับผลกระทบมากขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 และมาตรการควบคุมการระบาด ที่มีความเข้มงวดในหลายพื้นที่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศบางส่วน เผชิญภาวะหยุดชะงัก ขณะที่การส่งออกสินค้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยอาจมีแนวโน้มทยอยฟื้นกลับมาได้บางส่วน ในไตรมาสสุดท้ายของปี เนื่องจากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด และมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐ
ธนาคาร และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2564 จำนวน 28,151 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2564 จำนวน 8,631 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับงวด 9 เดือน ปี 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 28,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 11,922 ล้านบาท หรือ 73.47%
หลัก ๆ เกิดจากในงวด 9 เดือน ปี 2564 ธนาคาร และบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) ลดลง 28.28% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่ธนาคาร และบริษัทย่อยได้ตั้งสำรองฯ ในระดับที่สูง เป็นจำนวนถึง 42,879 ล้านบาท ภายใต้หลักความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจ ที่หดตัวจากสถานการณ์โควิด-19 อันเป็นวิกฤติการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน รวมถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้น จากมาตรการของทางการ ที่ให้สถาบันการเงิน ให้ความช่วยเหลือลูกค้า ที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องติดตามดูแลคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด
แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยในงวด 9 เดือนของปี 2564 จะได้รับผลกระทบมากขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ และมาตรการควบคุมการระบาด ที่มีความเข้มงวดในหลายพื้นที่ ธนาคาร และบริษัทย่อยได้ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอน ของสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และยังคงให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้า
ธนาคาร และบริษัทย่อยจึงได้พิจารณาตั้งสำรองฯ ในงวด 9 เดือนของปีนี้ รวมทั้งสิ้นจำนวน 30,752 ล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นระดับสำรองฯ ภายใต้หลักความระมัดระวัง
กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิต ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และภาษีเงินได้สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2564 มีจำนวน 70,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 4,003 ล้านบาท หรือ 6.04% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 6,171 ล้านบาท หรือ 7.49% สอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ แม้ว่าธนาคารได้ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกค้า
อัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 8.87% ส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าที่มีศักยภาพ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เพื่อเสริมสภาพคล่อง ให้ลูกค้าสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ปกติ ซึ่งธนาคารได้ติดตามดูแลคุณภาพของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
ลูกค้าบางส่วนอยู่ภายใต้มาตรการพักชำระเงินต้น และดอกเบี้ย ทำให้ธนาคารต้องมีการบริหารจัดการดอกเบี้ยค้างรับที่เพิ่มขึ้น
ในส่วนของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง เกิดจากการบริหารต้นทุนทางการเงินให้เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.21%
ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 1,326 ล้านบาท หรือ 3.95% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลง แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,864 ล้านบาท หรือ 7.55% หลัก ๆ จากค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน และค่านายหน้ารับจากการซื้อขายหลักทรัพย์
สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 842 ล้านบาท หรือ 1.69% เกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน และค่าใช้จ่ายจากโครงการที่ธนาคารช่วยบรรเทาภาระของลูกค้า ในช่วงที่มีมาตรการควบคุมการระบาด โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.85%
ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 เทียบไตรมาส 2 ปี 2564
ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 8,631 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนจำนวน 263 ล้านบาท หรือ 2.96% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 1,024 ล้านบาท หรือ 3.45% หลัก ๆ จากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ
อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ อยู่ที่ระดับ 3.23% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 1,936 ล้านบาท หรือ 17.38% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม ของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด
สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงเล็กน้อยจำนวน 104 ล้านบาท หรือ 0.61% จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ อยู่ที่ระดับ 42.47% นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นจำนวน 489 ล้านบาท หรือ 4.53% จากไตรมาสก่อน
นับถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ธนาคาร และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,029,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 จำนวน 371,033 ล้านบาท หรือ 10.14% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนสุทธิ
ขณะที่ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 อยู่ที่ระดับ 3.85% โดยธนาคารมีการติดตามดูแลคุณภาพเงินให้สินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด ขณะที่สิ้นปี 2563 อยู่ที่ระดับ 3.93% อัตราส่วนค่าเผื่อ
ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) นับถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 อยู่ที่ระดับ 156.96% โดยสิ้นปี 2563 อยู่ที่ระดับ 149.19%
สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 อยู่ที่ 18.82% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.53%
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- อยากมีบ้านมาทางนี้!! ‘กสิกรไทย’ จัดเต็ม บ้านมือสองราคาเดียว ฟรีค่าโอน ดอกเบี้ย 0%
- ‘กสิกรไทย’ ปล่อยกู้ ‘พราว เรียล เอสเตท’ พัฒนาคอนโดย่าน CBD 1,425 ล้านบาท
- ‘กสิกรไทย’ ลุยต่อเนื่อง ‘โครงการพิเศษ’ ช่วยลูกค้า ฝ่าวิกฤติโควิด-19 เน้น ‘รักษาจ้างงาน-แบ่งเบาภาระ’