Stock - Finance

เปิด 5 หุ้นเด่น แทงสวนต่างชาติเทขายหุ้นไทย

เปิด 5 หุ้นเด่น แทงสวนต่างชาติ เทขายหุ้นไทย หุ้นแนะนำ บล. กสิกรไทย มุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรม และหุ้นที่มีการเติบโตด้านโครงสร้าง

ตลอดปี 2566 ที่แล้ว ยอดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประะทศไทย “ขายมากกว่าซื้อ” คิดเป็นยอดขายหุ้นไทยสุทธิ 1.92 แสนล้านบาท ดึงให้ SET Index ปรับลดลง 15.5%

ขณะเดียวกันในปี 2567 นี้ นักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่หยุดที่จะเร่งรีบขายหุ้นไทย ซึ่งยังไม่จบเดือนมกราคม ก็พบว่าขายสุทธิไปแล้วกว่า 1.72 หมื่นล้านบาท

ถ้าเราติดตามความเคลื่อนไหวการซื้อขายของนักลงทุนในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว จะพบเช่นกันว่า

เทขายหุ้นไทย 5 วันติด

วันที่ 15 มกราคม นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 471 ล้านบาท
วันที่ 16 มกราคม นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 837 ล้านบาท
วันที่ 17 มกราคม นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 5.74 พันล้านบาท
วันที่ 18 มกราคม นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 2.65 พันล้านบาท
วันที่ 19 มกราคม นักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 1.23 พันล้านบาท

เทขายหุ้นไทย

สรุปง่ายๆ ว่า “นักลงทุนต่างชาติ” เป็นกลุ่มที่เทขายหุ้นไทยอย่างหนัก ขายอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะยังไม่หยุดขาย คำถามคือแล้วอะไรเป็นเหตุผลให้เกิดแรงขายหุ้นไทยหนักๆ แบบนี้ บทความนี้อยากจะพาไปไล่เรียงหาต้นสายปลายเหตุกัน พร้อมตอบคำถามว่าเรายังเหลือโอกาสในตลาดหุ้นไทยอยู่ไหม

เปิดเหตุผลต่างชาติ เทขายหุ้นไทย

บทวิเคราะห์ บล. กสิกรไทย ชี้ว่าประเทศไทยไม่มีการเติบโตเลยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือเหตุผลสำคัญที่ไล่นักลงทุนต่างชาติหนีออกจากตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่น่าดึงดูดใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียน

ซึ่งมาจากแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอของประเทศไทยหลังสิ้นสุดสถานการณ์โควิด-19 และมูลค่าที่ไม่น่าดึงดูดใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียน Bloomberg consensus คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะรายงานการเติบโตของกำไรสุทธิ (CAGR จากปี 2562-2567) ที่ 4.39% เทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียนที่ 10.39%

เมื่อดูในแง่ Valuation ขณะนี้ SET ซื้อขายด้วย PER ปี 2567 ที่ 14.35 เท่า ยังค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มอาเซียนซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตระดับเดียวกันหรือสูงกว่า เช่น อินโดนีเซีย (13.68 เท่า), มาเลเซีย (13.37 เท่า), ฟิลิปปินส์ (11.42 เท่า) และเวียดนาม (9.97 เท่า)

จึงพอสรุปได้ว่าสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย นั้นมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิที่ขาดหายไป หลัง market EPS ของประเทศไทยนั้นคงที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน, สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง, การลงทุนที่หายไป, ประชากรสูงวัย และการสูญเสียข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกของสินค้าอุตสาหกรรม

ถ้ายังชอบหุ้นไทย จะเลือกลงทุนอย่างไร?

คาดว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะผ่านร่างงบประมาณประจำปี 2567 และต้นทุนดอกเบี้ยเริ่มลดลงจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะหยุดเทขาย เริ่มกลับมาสะสมหุ้นไทยเมื่อ market EPS ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2559 และ 2565

แนะนำกลยุทธ์ “เลือกลงทุน” ในหุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตด้านโครงสร้าง และปลอดภัยจากการเทขายจากต่างชาติ ซึ่งเห็นแล้วว่าตั้งแต่ช่วงต้นปี 2556 นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, ผู้รับเหมา, การแพทย์ และอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับหุ้นแนะนำของ บล. กสิกรไทย มุ่งเน้นไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นที่มีการเติบโตด้านโครงสร้าง และหลบแรงขายจากต่างชาติ เช่น กลุ่มการแพทย์, นิคมอุตสาหกรรม และหุ้น mid-caps โดยหุ้นเด่นในกลุ่มนี้ ได้แก่ BDMS, BCH, WHA, AMATA และ CK

เทขายหุ้นไทย

เจาะ 5 หุ้นเด่น แทงสวนต่างชาติ

1. BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
ธุรกิจ: โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ของประเทศ โดยมีโรงพยาบาลเครือข่าย 6 กลุ่ม ทั้งในไทยและกัมพูชา คือ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ, กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลบี เอ็น เอช, กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท, กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล และกลุ่มโรงพยาบาลรอยัล
คำแนะนำ: ซื้อ ราคาเป้าหมาย 32.60 บาท

2. BCH หรือ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)
ธุรกิจ: โรงพยาบาลเอกชนที่มีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 15 แห่ง และโพลีคลินิก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และสปป.ลาว
คำแนะนำ: ซื้อ ราคาเป้าหมาย 24.80 บาท

3. WHA หรือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ธุรกิจ: ให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ ได้แก่ ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Logistics Hub) ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม (Industrial Development Hub) ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงาน (Utilities & Power Hub) และธุรกิจให้บริการด้านดิจิทัล (Digital Platform Hub)
คำแนะนำ: ซื้อ ราคาเป้าหมาย 5.70 บาท

4. AMATA หรือ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
ธุรกิจ: พัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีบริษัทในกลุ่มดำเนินธุรกิจด้านสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการหลังการขาย ทั้งน้ำประปา กระแสไฟฟ้า และจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ
คำแนะนำ: ซื้อ ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท

เทขายหุ้นไทย

5. CK หรือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
ธุรกิจ: รับเหมาก่อสร้างทั่วไปจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน มีลักษณะกิจการเป็นผู้รับเหมาโดยตรง (Main Contractor) ผู้รับเหมาช่วง (Sub Contractor) หรือลักษณะกิจการร่วมค้า (Joint Venture) หรือกิจการร่วมทุนแบบคอนซอร์เตียม (Consortium) และเป็นผู้ลงทุนในธุรกิจพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างครบวงจร
คำแนะนำ: ซื้อ ราคาเป้าหมาย 28.37 บาท

หมายเหตุ: อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 23 มกราคม 2567

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน