General

‘กรีนพีซ’ ยื่น 400,000 ชื่อ ถึงนายกฯ คัดค้านไทยเข้าร่วม ‘CPTPP’

กรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นรายชื่อประชาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมข้อตกลง CPTPP กว่า 400,000 คน ให้นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ ยุติการเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าว 

วันนี้ (22 มิ.ย.) กรีนพีซ ประเทศไทย นำบอลลูนสีเขียว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 เมตร ซึ่งมีรายชื่อประชาชนมากกว่า 400,000 คน ที่ลงชื่อคัดค้าน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ของกรีนพีซ ประเทศไทย และ Change.org ไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุติการเข้าร่วมความตกลง ที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP)

ทั้งนี้ กรีนพีซ ประเทศไทย ได้ยื่น จดหมายเปิดผนึก พร้อมข้อเรียกร้องที่ชัดเจนจากประชาชนต่อรัฐบาล ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ โดยนายกรัฐมนตรีต้องยุติการเข้าร่วมข้อตกลงนี้ เพื่อปกป้องสิทธิของเกษตรกร สิทธิของผู้บริโภค ความมั่นคงทางอาหาร และความหลากหลายทางชีวภาพของไทย ตลอดจนการเข้าถึงยา การสาธารณสุข และระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

CPTPP

นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีต้องยกเลิกการเข้าร่วมอย่างถาวรในทันที เพราะได้ไม่คุ้มเสีย คนไทยต้องแบกต้นทุนสูง ความตกลงนี้ เป็นเพียงแผนยุทธศาสตร์ ที่ขยายอำนาจของบรรษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ แลกกับการล่มสลายของวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ของชุมชนในประเทศไทย

กรีนพีซ ระบุว่า หลังจากสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนข้ามแปซิฟิค (TPP) ในปี 2560 มีการเปลี่ยนชื่อ TPP ให้เป็น CPTPP โดยรัฐภาคีที่เหลืออีก 11 ประเทศ (TPP-11) และเจรจากันใหม่นานกว่าหนึ่งปี ขณะนี้มีเพียง 6 ประเทศเท่านั้น ที่ให้สัตยาบัน จนในที่สุดความตกลงนี้มีผลบังคับใช้ในเดือน ธันวาคม 2561

รัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมความตกลงนี้ แต่วิกฤตแห่งความชอบธรรมของการบริหารงาน ซึ่งขยายเพิ่มมากขึ้นจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้นำของไทยจะแลกผลกระทบอย่างมาก และกว้างขวาง ที่จะตกอยู่กับประชาชนเพียงเพื่อเข้าร่วมความตกลงทางการค้านี้หรือ

CPTPP

CPTPP คือ อะไร ทำไมคนต้องต่อต้าน

เรื่องนี้ อาจเป็นสิ่งที่หลายๆ คนกำลังตั้งคำถามอยู่ ท่ามกลางกระแสคัดค้านที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว  โดยชื่อนี้ย่อมาจาก  Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ปัจจุบันมีสมาชิก 11 ประเทศ ได้แก่

  • ญี่ปุ่น
  • แคนาดา
  • เม็กซิโก
  • เปรู
  • ชิลี
  • ออสเตรเลีย
  • นิวซีแลนด์
  • สิงคโปร์
  • มาเลเซีย
  • บรูไน
  • เวียดนาม

CPTPP

แต่มีเพียง 7 ประเทศที่ให้สัตยาบันเข้าร่วม ได้แก่

  • เม็กซิโก
  • ญี่ปุ่น
  • นิวซีแลนด์
  • แคนาดา
  • ออสเตรเลีย
  • เวียดนาม

ข้อตกลงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงมาจาก TPP (Trans-Pacific Partnership) ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ซึ่งเคยมีสหรัฐเข้าร่วมด้วย แต่ภายหลังได้ถอนตัวออกไปเมื่อปี 2560

แต่ประเทศสมาชิกที่เหลือ ยังเดินหน้าความตกลงต่อภายใต้ชื่อใหม่นี้  โดยครอบคลุมการค้า การบริการ และการลงทุน เพื่อสร้างมาตรฐาน และกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก รวมถึงการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม กลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาล และนักลงทุนต่างชาติ

รายละเอียดในข้อตกลงมีอยู่หลายอย่าง ที่ทำให้ภาคประชาสังคมเกิดความกังวล โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า หากรัฐบาลไทยลงนามในข้อตกลงนี้แล้ว จะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายด้านการเกษตร ทำให้เกษตรกรทั่วประเทศไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์พืชไว้เพาะปลูกได้ และจะต้องซื้อผ่านบริษัทด้านอุตสาหกรรมเกษตรเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรในภาวะเศรษฐกิจ และราคาพืชผลที่ตกต่ำ ส่งผลดีต่อกลุ่มทุนยิ่งได้กำไร อีกทั้งจะยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยให้มากขึ้นไปอีก

ข้อกังวลของกลุ่มคัดค้าน 

  • การเข้าร่วมความตกลงนี้จะส่งผลให้ไทยต้องแก้กฎหมายบางฉบับที่อาจเกิดผลกระทบต่อภาคเกษตรและระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะประเด็นเรื่องสิทธิในเมล็ดพันธุ์พืช การคุ้มครองสิทธิบัตรยา รวมถึงการคุ้มครองการลงทุนให้ชาวต่างชาติ
  • ไทยต้องเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญา UPOV1991 ว่าด้วยพันธุ์พืชทันทีหากเข้าร่ว ซึ่งอนุสัญญานี้ให้ความคุ้มครองบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรในการผูกขาด เมล็ดพันธุ์ยาวนานถึง 15-20 ปี ทำให้เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกรอบเพาะปลูก
  • เนื้อหาในข้อตกลงหลายส่วนที่ส่งผลต่อการเข้าถึงยา การพัฒนาอุตสาหกรรมยาในประเทศ และส่งผลต่อเรื่องสุขภาพและระบบสาธารณสุข เช่น การผูกโยงการขึ้นทะเบียนตำรับยากับระบบสิทธิบัตร (Patent linkage) ข้อผูกมัดในบทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐและทรัพย์สินทางปัญญา
  • ทำให้การใช้มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร หรือ (Compulsory Licensing หรือ CL) ทำได้ยากขึ้น เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องตามบทคุ้มครองการลงทุน

CPTPP

อย่างไรก็ดี การเข้าร่วมก็มีข้อดีอยู่ด้วยเช่นกัน โดยในด้านการส่งออกนั้น จะช่วยเพิ่มโอกาสของไทยไปยังประเทศสมาชิกโดยเฉพาะ แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งไทยยังไม่มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศ  ซึ่งข้อตกลงนี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อส่งออกไปยังประเทศสมาชิก

สุดท้ายคือเรื่องของแรงงาน และสิ่งแวดล้อม  ซึ่งการปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศ เกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงาน การอนุรักษ์ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของของข้อตกลงนั้น  จะเป็นผลบวกกับไทยในระยะยาว

ขณะที่ข้อเสียของการเข้าร่วม แบ่งออกได้เป็น 3 ประเด็นใหญ่คือ

  • ทรัพย์สินทางปัญญา

เกษตรกรไทยต้องเผชิญกับต้นทุนการเกษตรที่สูงขึ้นจากอนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV) ที่จะต้องซื้อเมล็ดพันธุ์พืชจากบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ที่ได้ลิขสิทธิ์ในพันธุ์พืชนั้นๆ

  • ธุรกิจบริการ

เงื่อนไขการเจรจาแบบ Negative list คือ ประเทศสมาชิกสามารถระบุหมวดธุรกิจบริการ ที่ไม่ต้องการเปิดเสรีได้ ส่วนหมวดธุรกิจบริการอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขจะต้องเปิดเสรีต่อนักลงทุนต่างชาติ จึงอาจมีแรงกดดันให้ไทยต้องเปิดตลาดบริการมากขึ้น

  • การลงทุน

เปิดโอกาสทางการแข่งขันให้นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ไทยต้องเตรียมรับมือกับการรุกตลาดของต่างชาติ และนักลงทุนต่างชาติสามารถฟ้องรัฐบาลไทยผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการได้

CPTPP

ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ว่า หากไทยเข้าเป็นสมาชิกข้อตกลงนี้ อาจไม่ได้ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการส่งออกมากนัก ท่ามกลางความสามารถทางการแข่งขันของไทยที่ถดถอยอยู่ในปัจจุบัน

แต่มาตรฐานที่สูงของข้อตกลง ในด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และด้านอื่นๆ จะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการเข้าถึงยา และกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบ​การรายย่อย

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าไทยจะตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหรือไม่ ในอนาคตไทยก็คงไม่สามารถเลี่ยงการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับมาตรฐานเหล่านี้ได้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo