Politics

‘บิ๊กตู่’ ปรับแผน! ปูพรมฉีดวัคซีนพื้นที่เสี่ยงสูง เข้มฉีดคนกรุง 5 ล้านคนใน 2 เดือน

“นายกรัฐมนตรี” ปรับแผน! ปูพรมฉีดวัคซีนพื้นที่เสี่ยงสูง เข้มฉีดคนกรุงให้ได้ 5 ล้านคนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือน ยันเรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เราพบว่า สถานการณ์โควิดในกรุงเทพและปริมณฑล ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว แม้ว่าเราจะสามารถลดจานวนผู้ติดเชื้อในบางพื้นที่ แต่ก็ยังมีคลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก ทำให้ตนต้องเรียกประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเป็นการด่วนในช่วงเช้าของเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อรับทราบข้อมูลล่าสุด และหาทางแก้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้เร็วที่สุด

นายกรัฐมนตรี

ผลของการประชุมสรุปได้ว่า จะเร่งแก้ไขปัญหาการติดเชื้อในเรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยจะดำเนินการตรวจเชิงรุกให้ได้มาก และเร็วที่สุด และจัดตั้งโรงพยาบาลสนามภายในเรือนจำ เพื่อคัดแยกผู้ป่วยออกมารักษา หากมีผู้มีอาการรุนแรง ก็จะนำออกมาเข้ารักษาในโรงพยาบาลเฉพาะทางตามระบบต่อไป โดยเราจะให้การดูแลรักษาผู้ที่ติดเชื้ออย่างดีที่สุด ด้วยความเท่าเทียม ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งเป็นระบบปิด จึงมีโอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ชุมชนได้น้อยมาก และตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องคอยดูแลเข้มงวดในเรื่องนี้ในช่วงที่มีการระบาด โดยจะไม่ให้มีการเข้าเยี่ยมจากภายนอก จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ส่วนในพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล เราจะยังเดินหน้าต่อไป ในแนวทางที่เราทำสำเร็จมาแล้ว คือ การระดมตรวจเชิงรุก คัดแยกผู้ป่วย ส่งตัวรักษา และระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งต้องควบคู่ไปกับการบังคับใช้มาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด นั่นคือการใส่แมสก์ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การเว้นระยะห่าง และการตรวจวัดอุณหภูมิในทุกสถานที่ ซึ่งการระบาดในขณะนี้ เกิดขึ้นจากพื้นที่ ที่มีการรวมตัวกันอย่างแออัด

ตนได้สั่งการให้ทาง ศบค. เร่งออกตรวจพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นแคมป์คนงานก่อสร้าง โรงงาน และสถานที่อื่น ๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ซึ่งสถานที่ที่เกิดการระบาด รวมทั้งในเรือนจำ เราจะใช้แนวทางบับเบิลแอนด์ซีล คือการปิดกั้นการเดินทางเข้าออกของคนในสถานที่นั้น ๆ เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายออกไปสู่ภายนอก ซึ่งการที่สถานที่ที่มีการแพร่กระจาย ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปิด ทำให้ทีมแพทย์เชื่อว่า จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้โดยเร็ว โดยมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดวันต่อวัน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ยังคงทรงตัว แต่สิ่งที่เราต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคนก็คือ เรามีจำนวนผู้ป่วยที่หายป่วยในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก จนถึงวันนี้มีเกือบ 7 หมื่นคนแล้ว เฉพาะระลอกนี้มีมากกว่า 4 หมื่นคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของบุคลการทางการแพทย์ของเรา ที่คัดแยกตามอาการและรักษาอย่างดี และการเตรียมความพร้อม ด้านอุปกรณ์และเตียงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ ที่ตนและรัฐบาลให้ความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง ก็คือการฉีดวัคซีน ที่ตนได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งทางรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีนใน 3 ช่องทาง

  • ช่องทางแรก คือ ผ่านระบบหมอพร้อม ที่มีผู้มาลงทะเบียนแล้วประมาณ 7 ล้านคน สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และจะเปิดให้กลุ่มผู้อายุต่ำกว่า 60 ปีลงทะเบียนได้ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ ซึ่งข้อดีคือ ผู้ลงทะเบียนสามารถจองคิวฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลที่เลือกในวันเวลาที่เลือกเอง ซึ่งข้อดีก็คือ ท่านสามารถเลือกสถานที่และวันเวลาที่ท่านสะดวกได้เอง และรับรองว่าจะได้ฉีดในวันเวลาดังกล่าวอย่างแน่นอน สามารถเตรียมความพร้อมได้ดี หรืออาจจะเป็นระบบอื่นของแต่ละจังหวัด เช่น ภูเก็ตชนะ ก็ได้
  • ส่วนช่องทางที่สอง คือวิธีที่เสริมจากช่องทางระบบหมอพร้อม เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนมากที่สุด เร็วที่สุดคือลงทะเบียนที่จุดบริการฉีดวัคซีนหรือOnsite Registrationในกรณีที่มีวัคซีน สนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการนั้น ซึ่งจะมีการพิจารณาจัดเตรียมระบบในช่องทางนี้เพื่อให้เกิดความพร้อมมากที่สุดในการจัดสรร
  • ช่องทางที่สาม คือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ นั่นคือการจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ คือประชาชนกลุ่มเฉพาะเสี่ยง กลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชน เช่น บุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรด่านหน้า อสม. ทหาร ตารวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจ และนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งจำเป็นต้องฉีดเพื่อให้การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจไทยสามารถเดินหน้าไปได้โดยไม่สะดุด ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือสมาคมใดมีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน สามารถที่จะยื่นเรื่องให้กับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาเพื่อจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายว่า จะระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมให้กับประชาชนในกรุงเทพ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือน คือเดือนมิถุนายน และกรกฎาคม ซึ่งนอกจากโรงพยาบาล และจุดฉีดหลักแล้ว ยังมีจุดฉีดวัคซีนเสริมอีกอย่างน้อย 25 จุดกระจายทั่วกทม. รวมถึงสถานีกลางบางซื่อ เพื่อให้ประชาชนที่หาเช้ากินค่า และแรงงานต่าง ๆ เข้าถึงวัคซีนได้สะดวกและรวดเร็ว

“ที่ผ่านมา การวางระบบการฉีดวัคซีน อาจมีปัญหาติดขัดบ้าง หรือเกิดความไม่ชัดเจนบ้าง จากการให้ความสนใจลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก และการวางแผนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพตรงเป้าหมายของประเทศมากที่สุด ผมได้ติดตามและเร่งรัดให้มีการปรับปรุงโดยรวดเร็ว ต้องขออภัยที่อาจทำให้เกิดความไม่สะดวกบ้าง แต่ผมขอยืนยันว่าทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เรามีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอ และจะเริ่มให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศในต้นเดือนมิถุนายนนี้อย่างแน่นอน โดยจากที่ผ่านมาเราเร่งฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงไปแล้ว มากกว่า 2.3 ล้านโดส ได้ผลเป็นอย่างดี และไม่มีใครเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงเลยแม้แต่คนเดียว จึงขอให้ท่านมีความมั่นใจได้

นอกจากนี้ ตนยังได้เน้นย้ากับที่ประชุมครม. ในวันนี้ ในเรื่องของการชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลและ ศบค. ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามมาตรการที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะในการรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนได้ฉีดวัคซีนเพื่อให้ประเทศไทยเดินไปต่อได้

หากใครมีเจตนาในการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ย่อมมีความผิดตามกฎหมายและถูกดำเนินคดีได้ ดังนั้น ตนจึงขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานของรัฐ ให้มีความเข้มงวดในการตรวจสอบดูแลข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของท่านตลอดเวลา และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเร็ว หากเป็นการกระทำผิดกฎหมายขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือสื่อมวลชนและผู้ใช้สื่อทุกคนให้ใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น และขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งข่าวไปยังหน่วยงานต่างๆด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo