“ปิยบุตร” ฟาดแรง MOU ตั้งรัฐบาลก้าวไกล “กินปูนร้อนท้อง” หรือ “วัวสันหลังหวะ” ลั่นการเพิ่มบางถ้อยคำ อาจเป็นบ่วงรัดคอ “ก้าวไกล” ในอนาคต
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า สองประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วยกับ MOU การร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล ผมขอแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกลที่สามารถเจรจาการจัดตั้งรัฐบาลคืบหน้าไปอีกขั้นตอน และสนับสนุน เอาใจช่วยให้ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จภายใต้การนำของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ผมได้อ่าน MOU การร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกลแล้ว ผมไม่เห็นด้วยในสองประเด็น ซึ่งแตกต่างไปจากเนื้อหาที่ปรากฏในร่าง MOU สุดท้ายที่หลุดออกมาทางสื่อ
ประเด็นแรก
การเพิ่มข้อความที่ว่า “ต้องไม่กระทบกับรูปแบบของรัฐและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการดำรงอยู่ในสถานะอันเป็นที่สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์”
เหตุผล
ข้อความเหล่านี้ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2560 อยู่แล้วว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และรูปแบบของรัฐได้ การบัญญัติข้อความนี้ซ้ำลงไป ไม่ส่งผลใด ๆ ในทางกฎหมายและในทางการเมือง เพราะอย่างไรเสีย รัฐบาลใดที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐและระบอบการปกครองได้อยู่แล้ว พวกที่ทำแบบนี้ได้ คือ พวกก่อการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ตรงกันข้าม การเขียนลงไปแบบนี้ คือ การแสดงออกแบบ “กินปูนร้อนท้อง” หรือ “วัวสันหลังหวะ” เสียมากกว่า
นอกจากนั้น การเพิ่มถ้อยคำที่ว่า “สถานะอันเป็นที่สักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ขององค์พระมหากษัตริย์” ก็อาจเป็น “บ่วงรัดคอ” ที่ทำให้พรรคก้าวไกลต้องประสบปัญหาในการเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรได้ในอนาคต
ตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปี ผมแสดงความเห็นทางวิชาการไว้หลายครั้งเกี่ยวกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแบบมาตรา 6 ที่ว่า “องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” โดยเฉพาะประเด็นประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบทบัญญัตินี้ การเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญต่างประเทศ แนวทางการตีความของศาลรัฐธรรมนูญไทยที่ตีความกว้างขวางออกไปเกินความเป็นจริงจากเจตนารมณ์ของบทบัญญัตินี้ และเห็นว่าควรปรับแก้บทบัญญัตินี้เสียใหม่ ให้สอดคล้องกับหลัก “พระมหากษัตริย์ไม่ทรงกระทำผิด เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ทรงมีพระราชอำนาจทางการเมือง การบริหาร โดยแท้ แต่เป็นรัฐมนตรีผู้มีอำนาจและต้องรับผิด” แต่นั่นเป็นความเห็นส่วนตัวของผม ส่วนพรรคก้าวไกลจะคิดอ่านแก้ไขเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของพวกเขา (ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาคงไม่แตะ)
ผมเห็นว่า การเพิ่มถ้อยคำนี้ลงไปใน MOU อาจจะไป “รัดคอ” พรรคก้าวไกลในภายหลังได้ เมื่อพรรคก้าวไกลเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ตามที่เคยเสนอไป และตามที่เคยแถลงเป็นนโยบาย) ก็อาจจะถูก ส.ส. ส.ว. และศาลรัฐธรรมนูญ นำมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญมาผสมผสานกับข้อความใน MOU ดังกล่าว มาขยายความตีความแบบพิสดาร เพื่อมัดไม่ให้พรรคก้าวไกลได้ใช้กลไกสภาแก้ไขมาตรา 112 ได้
ต้องไม่ลืมว่า ในส่วนแนวทางปฏิบัติ ข้อที่ 5 ใน MOU นี้ เปิดทางให้ ส.ส.ของแต่ละพรรคทำเรื่องอื่น ๆ ได้ผ่านการตรากฎหมายในสภา แต่ “ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกข้อตกลงนี้”
ประเด็นที่สอง
การตัดเรื่องการผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมืองผ่านกลไกรัฐสภาออกไป
เหตุผล
พรรคก้าวไกลมีพันธกิจสำคัญที่รับมาจากความคาดหวังของประชาชน เยาวชน จำนวนมาก ในการยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่พัวพันกันมาตั้งแต่รัฐประหารปี 49 ผ่านเหตุการณ์ปี 53 ผ่านรัฐประหาร 57 และการชุมนุมของ “ราษฎร” ในปี 63-65
การจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้สำเร็จ ต้องใช้กลไกการนิรโทษกรรม ให้กับบุคคลที่ถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับการแสดงออกทางการเมืองเสียก่อน กลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ใช่อาชญากรโดยสันดาน พวกเขาเพียงแต่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน เห็นไม่ตรงกันเท่านั้น
แน่นอน การทำเรื่องเหล่านี้ได้สำเร็จ สุดท้ายต้องไปจบที่สภา เพราะต้องตราเป็นกฎหมายนิรโทษกรรม แต่มันจะผ่านได้ ก็ต้องมีเสียงข้างมากในสภาสนับสนุน ดังนั้น ถ้าทุกพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล 313 เสียง เห็นตรงกันตั้งแต่วันนี้ ก็เป็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ให้ประชาชนคนธรรมดาทุกกลุ่ม ทุกฝักฝ่าย ที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง แสดงออกทางการเมือง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- อ่านฉบับเต็ม MOU จัดตั้งรัฐบาลก้าวไกล 23 ข้อ ย้ำ! ไม่ใช่ทั้งหมดที่ก้าวไกลจะทำ
- ม็อบหยุดก่อน! ‘ธนกร’ แนะเจรจา ส.ว. ด้วยเหตุผล หวั่นตั้ง ‘รัฐบาลก้าวไกล’ สะดุด
- ประมวลภาพ 8 พรรคการเมืองแฮปปี้แถลงจับมือตั้ง ‘รัฐบาลก้าวไกล’ 313 เสียง