General

กันยายน เดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัย ‘มะเร็งต่อมน้ำเหลือง’ สังเกตตัวเองตามนี้

กันยายน เดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัย “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง” กรมการแพทย์ชี้พบได้บ่อยในคนไทย แนะหมั่นสังเกตตนเอง 

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรมศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย สามารถพบได้ทุกช่วงอายุแล้วแต่ชนิด โดยพบได้ประมาณ 3.000-4,000 คนต่อปี

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งที่เกิดกับต่อมน้ำเหลือง เกิดได้ทุกบริเวณของร่างกาย ตั้งแต่บริเวณรักแร้ คอ ขาหนีบ ตามข้อพับ และในช่องอก ช่องท้อง

นอกจากนี้แล้ว เซลล์ต่อมน้ำเหลืองยังมีอยู่ทุกอวัยวะในร่างกาย สามารถเกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ทั้งสิ้น เช่น มบริเวณลำไส้ ในสมอง เป็นต้น

แพทย์หญิงศศินิภา ตรีทิเพนทร์ แพทย์ที่ปรึกษาด้านอายุรศาสตร์โรคเลือด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แบ่งประเภทออกเป็น

1. ชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma) ผู้ป่วยมักจะมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณคอและช่องอก ให้การรักษาโดยการใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสง โอกาสหายขาดสูง

2. ชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-hodgkin lymphoma) พบมาก และแบ่งย่อยออกได้อีกประมาณ 30 ชนิด แต่แบ่งตามลักษณะการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็น 2 แบบคือ

  • ชนิดรุนแรง(Aggressive lymphoma) การแบ่งตัวและแพร่กระจายเกิดอย่างรวดเร็ว มีอาการรุนแรง ดังนั้นจึงตอบสนองกับยาเคมีบำบัดซึ่งออกฤทธิ์กับเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวเร็วอยู่ค่อนข้างดี

กลุ่มนี้ต้องรักษาทันที หากไม่รักษาผู้ป่วย อาจเสียชีวิตใน 6 เดือน ถึง 2 ปี แต่ถ้าได้รับการรักษาทันท่วงที มีโอกาสหายขาดจากโรคได้มาก แม้จะอยู่ในระยะไหนก็ตาม

  • ชนิดค่อยเป็นค่อยไป(Indolent lymphoma) การแบ่งตัวและแพร่กระจายค่อนข้างช้า อาการเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง

กลุ่มนี้มักไม่ค่อยหายขาดด้วยเคมีบำบัดที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงรักษาเมื่อมีข้อบ่งชี้ และติดตามอาการเป็นระยะ

shutterstock 2063929034

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุ

เกิดได้จากทั้ง การติดเชื้อทั้ง virus เช่น HIV, HCV, EBV การติดเชื้อ bacteria ที่ทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง, พันธุกรรม, ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำจากการได้รับยา, สารเคมีที่มีสารก่อมะเร็งอยู่ เช่น สารกำจัดศัตรูพืช

ดังนั้น การป้องกันของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จึงทำได้โดยการหมั่นสังเกตตัวเอง ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากเจ็บป่วยให้รีบ ไปรักษา หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีโดยตรง และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

วิธีสังเกตอาการ

  • อาการทางระบบหรือ B-symptom เช่น อาการไข้ที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานานกว่าสองสัปดาห์, เหงื่อออกตอนกลางคืน, น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเบื่ออาหารผิดปกติ
  • อาการเฉพาะที่ที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองโตในบริเวณนั้น ๆ เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ปวดแน่นท้อง ท้องอืด ปวดศีรษะ เป็นต้น

การรักษา

ปัจจุบันให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดร่วมกับยาพุ่งเป้า (Targeted therapy) ที่เริ่มมีการศึกษาวิจัยและนำมาใช้มากขึ้นในปัจจุบัน ฉายแสงในบางกรณี และการปลูกถ่ายไขกระดูกในเคสที่กลับเป็นซ้ำ

นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาใหม่สำหรับโรคที่กลับเป็นซ้ำด้วยการใช้เซลล์บำบัด (CAR-T cell) ซึ่งยังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัยในประเทศไทย

ติดตามความรู้ข่าวสารด้านโรคมะเร็งจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ส่งเสริมความรอบรู้สู้ภัยมะเร็ง http://allaboutcancer.nci.go.th/ เว็บไซต์ต่อต้านข่าวปลอมโรคมะเร็ง https://thaicancernews.nci.go.th/_v2/ และ Line : NCI รู้สู้มะเร็ง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo