สถาบันประสาทวิทยา ย้ำโรคพาร์กินสัน มักเกิดในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด เน้นให้ดูแลผู้ป่วยอย่างเข้าใจ สามารถใช้ชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของกลุ่มเซลล์ประสาทที่ผลิตสารโดปามีน ควบคุมการเคลื่อนไหว มักเกิดในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ในระยะแรกผู้ป่วยอาจมีอาการไม่มากนัก เช่น ปลายนิ้วสั่น พูดเสียงเบาลง เดินไม่แกว่งแขน หรือทำอะไรช้าลง
แต่ภายหลังอาการจะเด่นชัดเจนขึ้น คือ มีอาการสั่นบริเวณมือ แขน หรือขา คิดช้า พูดช้า เคลื่อนไหวช้า กล้ามเนื้อเกร็งที่แขน ขาหรือคอ เสียการทรงตัว เดินซอยเท้า ควบคุมการเดินไม่ได้ เป็นต้น
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมของกลุ่มเซลล์ประสาทในสมองไม่สามารถสร้างสารโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสั่งการของสมองในการควบคุมการเคลื่อนไหว พบว่ามีปัจจัยบางอย่างเกี่ยวข้องกับการเสื่อมของสมอง เช่น ปัจจัยทางพันธุกรรม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีบางชนิด
พญ.ไพรัตน์ แสงดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการรักษาโรคพาร์กินสันปัจจุบันมี 2 วิธีหลัก คือ
1.การรักษาด้วยยา โดยใช้ยาที่เพิ่มสารตั้งต้นโดปามีนหรือทดแทนโดปามีน ซึ่งยามีฤทธิ์ช่วยลดอาการของโรคพาร์กินสันได้ดี
2. การรักษาด้วยการผ่าตัด
ผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสัน นอกจากอาการเคลื่อนไหวผิดปกติแล้ว ยังมีกลุ่มอาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอีก เช่น ซึมเศร้า ประสาทหลอน กลืนอาหารลำบาก สำลักง่าย ท้องผูก หน้ามืดเวลาลุกยืน
ขอแนะนำวิธีปฏิบัติตัวเบื้องต้น เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย 5 ข้อ ดังนี้
- รับประทานอาหารจำพวกที่มีกากใย เพื่อช่วยลดอาการท้องผูก
- ออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ลดเกร็งและปรับการทรงตัวให้ดีขึ้น เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ รำไทเก็ก หรือเต้นแอโรบิก
- ฝึกพูด
- ปรับบริเวณทางเดิน หรือในห้องน้ำควรมีราวเกาะ และไม่วางของเกะกะทางเดิน
- ควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เช่น กางเกง เอวยางยืด เป็นต้น