“ไข้เลือดออก” ระบาดหนักป่วย 5 หมื่น ตาย 44 ราย แนะป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไข้เลือดออก ชนิดใหม่
ปัจจุบัน สถานการณ์ไข้เลือดออกในปีระบาดหนัก สูงสุดในรอบ 5 ปี พบผู้ป่วยแล้วกว่า 54,000 ราย พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึงสัปดาห์ละ 7,000 ราย เสียชีวิตแล้ว 44 ราย ซึ่งมากกว่าปีที่แล้ว (2022) ถึง 3 เท่า เคยป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้วยังป่วยได้อีก และอาจเสี่ยงต่ออาการที่รุนแรงมากขึ้น แม้การป่วยครั้งแรกจะไม่แสดงอาการก็ตาม ไข้เลือดออกคาดเดาความรุนแรงของโรคได้ยาก ไม่มียารักษาเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าคนแข็งแรงดี หรือมีโรคประจำตัวก็มีโอกาสเป็นไข้เลือดออกรุนแรงได้เหมือนกัน
ไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมี 4 สายพันธุ์
เชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์จะถูกเรียกว่าซีโรไทป์ (Serotype) ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 โดยส่วนใหญ่แล้วไข้เลือดออกเดงกีมักไม่มีอาการแสดงหรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางรายอาจจะมีอาการรุนแรง จนถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ และเป็นโรคที่คาดเดาได้ยากว่าใครจะอาการรุนแรงหรือไม่รุนแรง
คนเราสามารถติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้ถึง 4 ครั้ง จริงหรือไม่?
เชื้อไวรัสไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์จะเกิดการแพร่ระบาดสลับหมุนเวียนกัน ทำให้ในแต่ละปีมีสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามพบว่าสายพันธุ์ที่ระบาดหลักในประเทศไทยนั้น เป็นสายพันธุ์ 1 และ 2 การแพร่ระบาดที่แตกต่างกันหลายสายพันธุ์จึงเป็นผลให้คนเราอาจไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดนั้นๆ เพราะการติดเชื้อไวรัสเดงกีชนิดหนึ่ง ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเดงกีแค่ชนิดที่ติดเท่านั้น แต่ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นอาจจะป้องกันสายพันธุ์อื่น ๆ ได้ในชั่วคราว ทำให้ตลอดชีวิตของเราสามารถที่จะติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้งนั่นเอง
การติดเชื้อซ้ำอาจทำให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิม
หากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกเดงกีครั้งที่ 2 เกิดจากสายพันธุ์ชนิดที่แตกต่างจากเดิม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแสดงอาการที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากว่าการติดเชื้อซ้ำในครั้งที่ 2 จะเกิดการกระตุ้นภูมิต้านทานของการติดเชื้อในครั้งก่อนแต่เป็นภูมิต้านทานชนิดที่ไม่สามารถป้องกันโรคได้ และทำให้เชื้อไวรัสไข้เลือดออกสามารถกระจายตัวได้มากขึ้น ทำให้มีอาการรุนแรงได้มากขึ้น จึงเป็นผลให้การติดเชื้อในครั้งที่ 2 มีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม
ไข้เลือดออก ติดได้ ไม่เลือกคน
ยุงลาย คือพาหะนำโรคไข้เลือดออกเดงกี ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ในสภาพอากาศอบอุ่น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือตามหมู่บ้านหากมีคนอาศัยอยู่ ยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคก็สามารถเจริญเติบโตได้ ซึ่งหมายความว่าเราทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกีได้ตลอดเวลา
อาการของไข้เลือดออกเดงกี เทียบกับอาการของโรคอื่น
โรคไข้เลือดออกเดงกี โรคชิคุนกุนยา โรคไข้ซิก้า เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มียุงชนิดเดียวกันเป็นพาหะ ซึ่งมักจะกัดเราในเวลากลางวัน ในขณะที่โรคมาลาเรียเองก็มียุงเป็นพาหะ แต่เกิดจากเชื้อปรสิต ซึ่งโรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นมากมาย รวมไปถึง อาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดข้อ ซึ่งไข้หวัดและโรคโควิด-19 ก็อาจทำให้เกิดอาการเหล่านี้ในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาการอื่น ๆ ของโรคโควิด-19 ก็มีความแตกต่างออกไปจากการติดเชื้อไข้เลือดออกเดงกี นั่นก็คือ อาการไอ หายใจหอบ สูญเสียการรับรู้รสหรือกลิ่น เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล และท้องเสีย และที่สำคัญคือยุงไม่ใช่พาหะนำโรคที่ก่อให้เกิดหวัด หรือโรคโควิด-19 หากแต่เกิดจากการสัมผัสบุคคลที่มีเชื้อไวรัส
ไข้เลือดออก ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
- วัคซีนไข้เลือดออก ชนิดใหม่ ผลิตจากประเทศเยอรมนี สามารถฉีดได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ที่มีอายุระหว่าง 4-60 ปี
- วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ ได้ 80.2% และป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 90.4%
- ฉีดง่ายสะดวก เพียงแค่ 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน โดยสามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน โดยไม่ต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด
- วัคซีนมีความปลอดภัย ผลข้างเคียงที่พบ เป็นเพียงผลข้างเคียงทั่วไป ได้แก่ อาการปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดวัคซีน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ โดยส่วนมากมักหายได้เอง ภายในเวลา 1-3 วัน
ขอบคุณข้อมูล พญ.พเยีย ฉันทาดิศัย อนุสาขาอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ดร.อนันต์’ เตือนใช้ ATK ตรวจโควิด-ไข้หวัดใหญ่พร้อมกัน ผลคลาดเคลื่อนได้
- ระวัง!! คนติดเชื้อไข้เลือดออก ส่งต่อไวรัสให้ยุงเป็นพาหะส่งต่อคนอื่นได้
- สธ. ห่วงไข้เลือดออกระบาดยังพุ่ง ปีนี้พบแล้ว 65,552 ราย ย้ำเป็นไข้สูงอย่าซื้อยากินเอง