กทม. ปรับปรุงระบบจัดการสาธารณสุขเขตเมือง พร้อมประสานความร่วมมือและทำแผนป้องกันไข้เลือดออกในพื้นที่
นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และโฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สำนักอนามัย ได้ร่วมมือกับสำนักงานเขต ในการพัฒนาปรับปรุงระบบจัดการด้านสาธารณสุขเขตเมือง อาทิ การจัดการสุขาภิบาลในชุมชนแออัด การจัดการแหล่งน้ำขังอย่างมีประสิทธิภาพ การควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งในบ้าน ชุมชน และสถานที่สำคัญต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังประสานความร่วมมือ และจัดทำแผนจัดกิจกรรมจัดการสิ่งแวดล้อม Big cleaning ในชุมชนที่เป็นพื้นที่เสี่ยงทุกสัปดาห์ ทั้งบริเวณบ้านพักอาศัย สถานศึกษา ศาสนสถาน ภายในชุมชน และสถานที่ราชการ กิจกรรม ได้แก่
- การดำเนินการสำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง
- ใส่ทรายทีมีฟอส
- คว่ำภาชนะ เก็บขยะที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- ผนวกกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมความรู้ให้แก่ประชาชนในการดูแลสุขลักษณะและจัดการสิ่งแวดล้อม
ขณะที่สำนักอนามัย ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนจัดกิจกรรม เช่น โครงการโรงเรียนติด Guard ห่างไกลไข้เลือดออก ผ่านโรงเรียนนำร่องที่อยู่ในเขตพื้นที่เสี่ยงสูงเพื่อให้ครูและนักเรียนตัวแทนได้เรียนรู้และรู้จักวิธีป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับที่บ้านและชุมชนของตนเอง เพื่อเป็นการเพิ่มมาตรการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่สามารถป้องกันได้ ต้องเริ่มลงมือปฏิบัติตั้งแต่ตอนนี้
กรุงเทพมหานครได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่ประชาชนสามารถลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของไข้เลือดออกด้วยการเฝ้าระวังยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรค เช่น มาตรการ 5 ป. หรือมาตรการ 3 เก็บ ดังนี้
มาตรการ 5 ป.
1. ปิด ปิดหรือคว่ำภาชนะเพื่อป้องกันยุงไข่
2. เปลี่ยน เปลี่ยนน้ำในภาชนะให้สะอาดอยู่เสมอ
3. ปล่อย ปล่อยปลาลงในอ่างเพื่อกินลูกน้ำยุงลาย
4. ปรับ ปรับปรุงสภาพแวดล้อม ลดขยะและแหล่งน้ำขัง
5. ปฏิบัติ ควรปฏิบัติเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
มาตรการ 3 เก็บ
1. เก็บบ้านไม่ให้รก
2. เก็บขยะไปทิ้งอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
3. เก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะให้มิดชิด ทำลายแหล่งน้ำขัง
พร้อมกันนี้ มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และคำแนะนำแก่ประชาชนเกี่ยวกับวิธีป้องกันตนเองและการสังเกตอาการของโรคไข้เลือดออกในทุกช่องทางอย่างต่อเนื่อง เช่น สื่อมัลติมีเดีย แอปพลิเคชัน
วิธีสังเกตอาการไข้เลือดออก หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน รับประทานยาแล้วไข้ไม่ลดหรือลดแล้วไข้กลับมาสูงอีก ร่วมกับอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตา หรือมีอาการเลือดออกส่วนใหญ่พบที่ผิวหนังควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล และให้ทานยาพาราเชตามอล (Paracetamol) และให้หลีกเลี่ยงยาประเภท NSAIDs เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน เป็นต้น
สำนักอนามัย ยังได้แจ้งเตือนสถานการณ์โรคไข้เลือดออกให้กับหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ สำนักงานเขตและศูนย์บริการสาธารณสุข เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการแพร่ระบาด
ขณะเดียวกัน ได้จัดการอบรมพัฒนาความรู้และจัดการอบรมซ้อมแผนการดำเนินงานในการเฝ้าระวังป้องกันไข้เลือดออก เพื่อให้บุคลากรเจ้าหน้าที่มีความรู้ ความสามารถ และตอบโต้ภาวะฉุกเฉินได้ทันท่วงที
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ไข้เลือดออก’ พีคไม่เลิก ป่วยแล้ว 2.7 หมื่นราย เพิ่มขึ้น 3 เท่า สธ. เผยป่วยซ้ำอาการรุนแรงขึ้น
- ‘ไข้เลือดออก’ โรคที่มาหน้าฝน หลีกเลี่ยง ป้องกันอย่างไร เช็กเลย!
- สธ. ห่วงไข้เลือดออกระบาดหนักสุดในรอบ 3 ปี มากกว่าปีก่อน 4.2 เท่า