เผย คนไทยเป็น ‘โรคไตเรื้อรัง’ กว่า 11 ล้านคน แต่มีผู้ป่วยไม่ถึง 2% ที่รู้ตัวว่าป่วย แนะลดเค็ม ลดเสี่ยง
นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมีนาคมเป็น “วันไตโลก” จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะรณรงค์ให้คนไทยเกิดความตระหนักในการป้องกันโรคไต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับประทานอาหาร การใช้ชีวิต การทำงาน หรือแม้แต่การต้องอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน
ผู้ป่วยเพียง 1.9% จาก 11 ล้านคน ที่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคไต
ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคไตเรื้อรังกว่า 11 ล้านคน แต่มีผู้ป่วยเพียง 1.9% ที่รู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคไตแล้ว
ซึ่งโรคไตเป็นอาการหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณไต ทำให้การทำงานเพื่อขับของเสียออกจากร่างกายและการรักษาความสมดุลของเกลือ รวมถึงน้ำในร่างกายเกิดภาวะขัดข้อง ซึ่งโรคที่เกิดขึ้นกับไตมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท
ได้แก่ ไตวายฉับพลัน ไตวายเรื้อรังที่อาจเกิดจากโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่เป็นบ่อยๆ โรคถุงน้ำที่ไต ภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยครั้ง หรือเกิดจากการอุดตัน เช่น จากนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต หรือมะเร็งมดลูกไปกดเบียดท่อไต เป็นต้น
ซึ่งเมื่อป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว การทำงานของไตจะเสื่อมลงจนเข้าสู่โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ต้องได้รับการฟอกเลือดล้างไตในที่สุด
เช็กสัญญาณเตือน อาการแบบนี้อาจป่วย
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคไตระยะเริ่มต้นมักจะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน แต่จะมีอาการเมื่อเป็นมากแล้ว จึงพบว่าผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ส่วนใหญ่มีอาการไตเรื้อรังระยะที่รุนแรง
ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยและเป็นสัญญาณแจ้งเตือนโรคไต คือ มีอาการซีด เพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปัสสาวะสีหรือกลิ่นผิดปกติ ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน ปวดศีรษะ ตรวจพบความดันโลหิตสูง ตัวบวม เท้าบวม ปวดหลัง และปวดบั้นเอว
ทั้งนี้ เมื่อเป็นมากขึ้นอาจทำให้เกิดอาการของไตวายจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น การตรวจสุขภาพประจำปีทั้งการตรวจเลือดดูการทำงานของไตและการตรวจปัสสาวะ ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง อาทิเช่น อายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อยครั้ง
โรคภูมิคุ้มกันแพ้ภัยตัวเอง เช่น โรคลูปัส (SLE) โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือผู้ป่วยที่รับประทานยาที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไต อาทิเช่น กลุ่มยาแก้ปวดชนิด NSAIDs ทานยาสมุนไพร หรือได้รับยาบำบัดทางเคมีบำบัดที่มีผลต่อไต เป็นต้น
7 ข้อปฏิบัติ ห่างไกลโรคไต
แพทย์หญิงกรทิพย์ ผลโภค นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ งานโรคไต กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า เราควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำร้ายไต และหันมาดูแลสุขภาพตนเองให้ห่างไกลจากโรคไต ดังนี้
- ลดโซเดียม แนะนำบริโภค โซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ลดการปรุง เลิกผงชูรส หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป กึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อ่านฉลากโภชนาการบนผลิตภัณฑ์
- หลีกเลี่ยงยาแก้ปวด ยาชุด สมุนไพร หากมีความจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
- งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กลุ่มเสี่ยงโรคไต ต้องรักษาและควบคุมโรคให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อป้องกันไตเสื่อม
- รับการตรวจสุขภาพประจำปี คัดกรองโรคไต เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและมีอนามัยที่ดีอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม หากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘PM2.5’ กระทบปอด-เสี่ยงมะเร็ง ปี 65 พบป่วยมะเร็งปอด 1.9 แสนราย แนะลดกิจกรรมนอกบ้านเมื่อค่าฝุ่นสูง
- เพิ่มยาต้านไวรัส ‘โมลนูพิราเวียร์’ ในบัญชี UCEP Plus แล้ว
- ดร.อนนต์ เผยผลทดสอบ ‘ยาเบาหวาน’ ลดการเกิด ‘ลองโควิด’ ได้ถึง 42%