General

‘ชูวิทย์’ ตัดพ้อ วิ่งสู้ฟัดเพียงเดียวดาย ‘คดีตู้ห่าว’ ไร้ข้อหาฟอกเงิน แพ้ตั้งแต่รำมวย

“ชูวิทย์” โพสต์ตัดพ้อ คดีตู้ห่าว วิ่งสู้ฟัดเพียงเดียวดาย ถามดังทำไมตำรวจไม่ตั้งข้อหาฟอกเงิน ของคู่ยาเสพติด ที่แม้แต่เด็กเรียนกฎหมายปี 2 ยังรู้

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์‘ กรณีคดีตู้ห่าว โดยเฉพาะประเด็นที่ตำรวจตั้งข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ไม่โดนข้อหาฟอกเงิน โดยระบุว่า

คดีตู้ห่าว

วิ่ง สู้ ฟัด

ตำรวจทำ คดีตู้ห่าว ตั้งข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ไร้ข้อหา ฟอกเงิน ทั้งที่ยาเสพติดเป็น ความผิดมูลฐาน  ของการฟอกเงินโดยอัตโนมัติ

มันเหมือนของคู่กัน แม้แต่เด็กเรียนกฎหมายปี 2 ยังรู้ แต่ตำรวจคงงานยุ่ง ลืมข้อหานี้ไป

เมื่อตำรวจไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินนายตู้ห่าว ทำให้ พัชรินทร์ และพรรคพวกที่เป็นตัวแทนของตู้ห่าว ไม่ถูกตั้งข้อหา สมคบกันฟอกเงิน ไปด้วย

เดินเชิดหน้าพร้อมทีมทนายเข้าออกพบตำรวจทีมรองโจ๊กอย่างชิลๆ ในฐานะ พยาน หาใช่ผู้ต้องหาไม่

ทั้ง ๆ ที่โอนเงินอินุงตุงนังพัวพันกันไปมาในบัญชี เป็นตัวแทนให้ตู้ห่าวมีหลักฐานเห็นกันจะ ๆ

ถุงแม้ว่าตู้ห่าวจะหลุดคดียาเสพติด แต่หากชี้แจงที่มาของทรัพย์สินไม่ได้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามาจากยาเสพติด

เพราะแค่ระยะเวลา 10 กว่าปี มีทรัพย์สินถึงหลายพันล้านได้อย่างไร ถ้าชี้แจงไม่ได้ ต้องตกเป็นของแผ่นดิน

ตู้ห่าว

หากมีใครไปถามตำรวจว่า ทำไมไม่ตั้งข้อหา ฟอกเงิน?

คงตอบว่ากำลังดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ จะไปรีบไม่ได้ เพราะทรัพย์สินมาก เดี๋ยวเสียรูปคดีหมด เป็นความลับในสำนวน ห้ามเปิดเผย

ขอให้เดาเอาแล้วกันว่า ระหว่างตำรวจกับอัยการ จะไว้ใจใครได้?

ผมจึงต้อง วิ่งสู้ฟัด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นหน้าที่ผมเลยสักนิด

แต่เพื่อให้สังคม รู้เท่าทัน จำเป็นต้องพูดเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถุงขนมรั่วหล่นระหว่างทาง

อย่าไปคิดหวังรางวัล 5% หากได้จะยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว จำคำพูดผมไว้

คดีนี้มองได้ว่า มันแพ้ตั้งแต่ รำมวย เพราะไม่แจ้งข้อหา ฟอกเงิน นี่เอง

ส่วนเหตุของความไม่ไว้วางใจ เพราะ

ลำดับแรก เมื่อเกิดเหตุ ตำรวจนครบาลตั้งใจไปจับบ่อนอย่างเงียบๆ เพราะไม่เรียกสื่อไปด้วยสักคน แต่กลับไม่พบบ่อน เพราะย้ายโต๊ะหนีไปก่อนเพียง 1 วัน พบคนจีนกว่า 200 คน เสพยากันเพลิน

จีนเจ้าของร้านไม่ตกใจ คิดว่า อั๊วเคลียร์ได้ แต่มีตำรวจน้ำดีไม่เอาด้วย เพราะยามาก เลยรีบกดคลิปส่งให้สื่อก่อน งานนี้เลยเคลียร์ไม่ได้ ตรวจฉี่ที่เกิดเหตุพบฉี่ม่วง 160 คน

แต่ภาพกล้องวงจรปิดในร้านถูกลบออกหมด อันนี้ไม่น่าไว้ใจ ครั้งที่ 1

ลำดับที่ 2 เจ้าของพื้นที่ สน.ยานนาวา ตรวจฉี่ผู้ต้องหาที่โรงพัก พบฉี่ม่วงเหลือเพียง 60 คน

แถมปล่อยผู้ต้องหาคนสำคัญ หลานนายตู้ห่าว เดินออกไปพร้อมรถหรูของกลางอีก 4 คัน สบายใจเฉิบ ไม่ไว้วางใจ ครั้งที่ 2

บิ๊กโจ๊ก โอนสำนวนมาคุมเอง หมายจับตู้ห่าวกว่าจะออกดองไว้เกือบเดือน จนผมไปยื่นร้องที่กระทรวงยุติธรรมวันรุ่งขึ้น ถึงออกหมายจับ

ชูวิทย์

จนถึงบัดนี้สำนวนไป 90% แต่ยังไม่มีข้อหา ฟอกเงิน

ที่สำคัญ ขณะนี้เหลือผู้ต้องหาฉี่ม่วงในผับจินหลิงอยู่เพียง 6 คน

สู้กับคนรวยมันลำบากอย่างนี้นี่เอง

มงกุฎสุดยอดทรัพย์สินของตู้ห่าว คือ โรงแรม ขนาด 380 ห้อง พร้อมที่ดิน มูลค่ามหาศาล เพิ่งโดนชุด “พาลีปราบยา” ของรัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน เจ้ากระทรวงยุติธรรมไปอายัดสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้

แต่ต้องบอกว่า แค่อายัดไว้ชั่วคราว

เมื่อพบกับสถานการณ์แบบที่ว่านี้ เป็นเหตุให้ผมต้องไปขอพบอัยการสูงสุดแต่เช้า เพราะถือว่า เป็น ทนายแผ่นดิน ผมเป็น พลเมืองคนไทย ย่อมมีสิทธิ์เข้าพบ

แต่ผมได้แค่เฝ้าหน้าลิฟต์ ไม่ได้ขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าท่านไม่ว่างพบ จะให้ผมไปยื่นเรื่องกับโฆษกฯ ถ่ายรูปแล้วเผ่น คงไม่ใช่แล้ว

จนรองอัยการสูงสุดถึง 2 ท่าน มาพบ ผมร้องว่า คดีนี้สมควรเป็น คดีนอกราชอาณาจักร

เหตุเพราะ มียาเสพติดนำเข้ามาจากจีน มีตราประทับภาษาจีนชัดเจน มีคนแปลงสัญชาติไทยเป็นหัวหน้าขบวนการ มีเครือข่ายเป็นชาวจีนเดินทางเข้าออกประเทศอยู่เป็นประจำ และเงินทุนโอนมาจากต่างประเทศด้วย

จึงสมควรเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ

ข่าวหนาหูมาว่า ยอมเสียแขนขวาดีกว่าเสียชีวิต เสียเงิน 500 ล้าน ดีกว่าเสียทรัพย์สิน 5,000 ล้าน

สงครามยังไม่จบ แม้จะเคลียร์กันหมด สามัคคีชุมนุมกันเรียบร้อย

แต่ยังเหลือผมที่ วิ่งสู้ฟัด อยู่อย่างเดียวดาย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo