สธ. เร่งกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส-แอสตร้าฯ ถึง รพ.สต. เพิ่มความสะดวกผู้สูงอายุ รับเข็มกระตุ้น
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดี กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขณะนี้ทั่วโลกยังมีการติดเชื้อโควิด 19 สูง จึงยังต้องระมัดระวัง โดยหลายประเทศที่ควบคุมได้ดี มีการผ่อนคลายมาตรการ เริ่มกลับมามีผู้เสียชีวิตในอัตราที่สูงมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปและประเทศเกาหลีใต้
สำหรับประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ย 14 วัน ประมาณ 2 หมื่นกว่าราย ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้า ๆ จึงยังต้องเข้มมาตรการป้องกันการติดเชื้อ และการฉีดวัคซีน
ทั้งนี้ ภาพรวมสถานการณ์ทั้งหมดยังเป็นไปตามระดับการคาดการณ์ ที่มีการร่วมมือของประชาชนอยู่ในระดับที่ดี หากคงมาตรการต่าง ๆ ไว้ได้ ก็จะควบคุมการระบาดได้อย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์
อย่างไรก็ตาม หลังเทศกาลสงกรานต์ หากมีการรวมตัวทำกิจกรรมโดยไม่เว้นระยะห่าง หรือหย่อนมาตรการ ก็อาจมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้
ด้านผู้เสียชีวิตยังเป็นผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัว และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ดังนั้น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทั้งก่อนเดินทาง ระหว่างเทศกาล และช่วงเดินทางกลับ ขอให้ประชาชนป้องกันตนเองทั้งจากโควิด 19 และอุบัติเหตุ
นพ.โอภาสกล่าวว่า ก่อนเดินทางต้องทำตนเองให้ปราศจากเชื้อ (Self Clean Up) ตรวจ ATK ก่อนเดินทาง ระหว่างสงกรานต์ขอให้เข้มมาตรการป้องกันตนเองตลอดเวลา ผู้สูงอายุควรรับวัคซีนให้ครบก่อนร่วมกิจกรรม
ส่วนหลังเทศกาล ให้สังเกตอาการตนเอง 7 วัน หากมีอาการของระบบทางเดินหายใจ ควรตรวจ ATK หลีกเลี่ยงพบปะผู้คนจำนวนมาก ทำงานที่บ้านตามความเหมาะสม ส่วนการลดอุบัติเหตุให้ใช้มาตรการ 3 ม. 3 ด่าน
สาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุไม่ได้รับวัคซีน คือ 1. การเดินทางไปรับวัคซีนลำบาก 2. กลัวผลข้างเคียง และ 3. ลังเลที่จะฉีดเข็มกระตุ้น
ดังนั้น ช่วงสงกรานต์ที่ลูกหลานกลับภูมิลำเนา ขอให้ถือโอกาสพาผู้สูงอายุ ญาติผู้ใหญ่ที่บ้านไปรับวัคซีนที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขกระจายวัคซีนทั้งไฟเซอร์และแอสตร้าเซนเนก้าไปถึง รพ.สต. เพื่อให้ใกล้บ้านที่สุด
ในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส เป็นรุ่นฝาสีเทา ซึ่งเหมาะกับการนำไปฉีดที่ รพ.สต. เนื่องจากไม่ต้องผสมน้ำเกลือก่อนฉีด และสามารถเก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ได้นานขึ้นจาก 4 สัปดาห์ เป็น 8-10 สัปดาห์ ซึ่งการฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มขึ้น จะช่วยลดการติดเชื้อและการเสียชีวิตได้มากขึ้น
ส่วนกลุ่มเด็กมัธยมศึกษาอายุ 12-17 ปี ขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ต้องมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มกระตุ้นแล้วเช่นกัน จึงแนะนำให้รับวัคซีนก่อนเปิดเทอมช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ โดยสามารถเลือกรับได้ทั้งแบบเต็มโดสหรือครึ่งโดส ซึ่งมีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิคุ้มกันไม่แตกต่างกัน แต่การฉีดครึ่งโดสจะมีผลข้างเคียงจากวัคซีนน้อยกว่า
ทั้งนี้ในกลุ่มเด็กที่สุขภาพปกติ จะฉีดโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ส่วนกลุ่มเด็กป่วยสามารถรับบริการในโรงพยาบาลที่รักษาได้ ขณะที่เด็กประถมศึกษาอายุ 5-11 ปี ฉีดเข็มแรกไปแล้ว จะฉีดเข็มสองห่างจากเข็มแรก 8 สัปดาห์ ซึ่งจะเร่งรัดฉีดเพื่อรองรับการเปิดเทอมต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ใกล้ความจริง!!ครม. เคาะงบ 211 ล้าน ไฟเขียว ‘วัคซีนใบยา’ ทดลองในมนุษย์ระยะ 2a
- ‘หมอเฉลิมชัย’ จำลองฉากทัศน์โควิด สงกรานต์ 2565 แย่สุดติดเชื้อเฉียด 1.2 แสน
- สะพรึง!! โอไมครอนกลายพันธุ์ BA.4-BA.5 น่าห่วงกว่าสายพันธุ์ลูกผสม ดื้อภูมิกว่า