ข่าวดี วัคซีนโควิดล่าสุด “โมโนวาเลนต์ XBB.1.5” ดีกว่าวัคซีนรุ่นเก่า WHO และ อย.สหรัฐ แนะนำให้ฉีด รับมือการระบาดปี 67
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ระบุว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอาหารและยาของสหรัฐ อเมริกา (US FDA) ประสานเสียงเสนอให้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 เปลี่ยนมาใช้โอไมครอนสายพันธุ์เดียว XBB เป็นหัวเชื้อหรือต้นแบบในการผลิต “วัคซีนโมโนวาเลนต์”
พร้อมแนะนำให้ประเทศต่างๆควรเตรียมตัวเปลี่ยนมาใช้วัคซีน XBB เพื่อให้ทันต่อการป้องกันการติดเชื้อ และทันต่อการป้องกันการเกิดอาการรุนแรง หากติดเชื้อกลายพันธุ์ในปีหน้า (พ.ศ. 2567) แทนการฉีดวัคซีน 2 สายพันธุ์ (ไวรัสอู่ฮั่น+โอมิครอน BA.4/BA.5) หรือ “วัคซีนไบวาเลนต์” ซึ่งได้มีการนำมาใช้ในช่วงปีนี้ (พ.ศ. 2566)
แนะใช้วัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB.1.5 รับมือโควิดปี 67
และเพื่อให้การผลิตวัคซีนถึงประชาชน(อเมริกัน)ในเดือน กรกฎาคม 2566 สามบริษัทซึ่งผลิตวัคซีน mRNA และ วัคซีนชิ้นส่วนโปรตีนของโควิด-19 (protein subunit) จึงเลือกใช้โอไมครอน XBB.1.5 เป็นต้นแบบในการผลิตวัคซีนสำหรับใช้ในช่วงฤดูกาล พ.ศ. 2566-2567
ล่าสุดทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์ในสหรัฐ อเมริกา นำโดย ศ. เดวิด ดี. โห: นักวิจัยผู้บุกเบิกด้านโรคเอดส์และเอชไอวีระดับนานาชาติ ที่ช่วยเปลี่ยนวิกฤตการณ์เอชไอวีจากโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิต ให้กลายเป็นโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมได้ ผ่านงานวิจัยบุกเบิกด้านการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหลายชนิด ได้นำเสนอผลงานก่อนตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ “ https://www.biorxiv.org/content/10.1101/2023.11.26.568730v1 ” แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพสำคัญของวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB.1.5 ที่เพิ่มขึ้น อันเป็นการสนับสนุนข้อเสนอแนะขององค์การอนามัยโลกในการเปลี่ยนมาใช้“วัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB” กล่าวคือ
ประสิทธิภาพสำคัญของวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB.1.5
- แอนติบอดีที่ถูกกระตุ้นสร้างขึ้นด้วยวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB.1.5 สามารถเข้าจับและทำลายไวรัสโควิด-19 ได้หลากหลายสายพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงแต่โอมิครอน XBB.1.5 และ EG.5.1 ที่เป็นสายพันธุ์หลักแพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบันขณะนี้เท่านั้น แต่ยังสามารถต่อต้านโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งอุบัติขึ้นปลายปีนี้ เช่น รุ่นลูกหลานของโอมิครอน XBB* คือ HV.1, HK.3, JD.1.1 และ รุ่นลูกของโอมิครอน BA.2.86 คือ JN.1
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB.1.5 ที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีที่ครอบคลุมสายพันธุ์ต่างๆของโอมิครอน(broad spectrum) มากกว่าวัคซีนรุ่นก่อน
- ลด “ความทรงจำของระบบภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ดั้งเดิม” หรือเรียกสั้นๆว่า รอยประทับทางภูมิคุ้มกัน(Immune imprinting): การวิจัยนี้ระบุว่าวัคซีนโมโนวาเลนต์ XBB.1.5 อาจทำให้เกิดรอยประทับทางภูมิคุ้มกันน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับฉีดวัคซีน 2 สายพันธุ์ (ไวรัสอู่ฮั่น+โอมิครอน BA.4/BA.5) หรือ “วัคซีนไบวาเลนต์”
แก้ปัญหาร่างกายจำไวรัสสายพันธุ์เดิม ทำให้ไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่
การได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนที่ใช้ไวรัสตัวเดิมซ้ำๆ อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี กล่าวคือเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ความทรงจำของระบบภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ดั้งเดิม (Immune imprinting) เช่น ในกรณีของวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้ไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่นมาโดยตลอด แต่เมื่อร่างกายของเราไปพบกับไวรัสกลายพันธุ์รุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย (minor change) จากสายพันธุ์เดิม เช่น โอมิครอน XBB ระบบภูมิคุ้มกันของเรายังคงจดจำรูปแบบเดิมของไวรัสสายพันธุ์เก่าที่เรียนรู้จากการรับวัคซีน “ไม่มูฟออน” ทำให้ไม่สร้างแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือสร้างน้อย
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งนำโดย ดร. หยุนหลง ริชาร์ด เฉา (Yunlong Richard Cao) ตีพิมพ์ผลงานวิจัยสำคัญในวารสารทางการแพทย์ “ Nature” เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 เสนอวิธีการบรรเทาผลกระทบจากความทรงจำของระบบภูมิคุ้มกันของเรา ต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม และจากการฉีดวัคซีนเข็มแรกที่ผลิตจากไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม “อู่ฮั่น”
โดยการติดเชื้อโอมิครอน 2 ครั้ง หรือ ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสายพันธุ์โอมิครอน XBB* อย่างน้อย 2 เข็ม ซึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีที่หลากหลาย สามารถเข้าจับกับตำแหน่งต่างๆบนส่วนหนามของไวรัสที่ใช้ยึดเกาะเซลล์ได้ดีขึ้น
Repeated Omicron exposures override ancestral SARS-CoV-2 immune imprinting: https://www.nature.com/articles/s41586-023-06753-7
- ประสิทธิผลในการเพิ่มภูมิคุ้มกันในบุคคลที่เคยติดเชื้อโควิด-19มาก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ควรทราบของงานวิจัยนี้คือ:
- เป็นผลวิจัยการตอบสนองของแอนติบอดีต่อโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆในหลอดทดลองเป็นหลัก และไม่ได้ครอบคลุมแง่มุมอื่นๆ ของการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น การตอบสนองของทีเซลล์(T cell) หรือภูมิคุ้มกันของเยื่อเมือก ประสิทธิภาพในระยะยาวและประสิทธิผลในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษานี้
- ยังไม่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review): ผลการวิจัยดังกล่าวรอการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการตรวจสอบผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หมอยง เตือน! หนาวแล้ว ระวัง ‘โควิด 19’ โดยเฉพาะในเด็กนักเรียน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
- ครึ่งทางแล้ว! ‘หมอชลน่าน’ เผยฉีดวัคซีน HPV ไปแล้วกว่า 5 แสนโดส เร่งให้ครบล้านภายในสิ้นปี
- ‘ชลน่าน’ เผยยอดฉีด ‘วัคซีนHPV’ ทั่วประเทศ สะสม 1.6 แสนโดส เร่งฉีดให้เข้าเป้า 1 ล้านโดส