COVID-19

โอไมครอนกลุ่ม ‘Flip mutation’ จะเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดไปทั่วโลกในปี 67

ศูนย์จีโนมฯ คาดโอไมครอนกลุ่ม “Flip mutation” จะเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดไปทั่วโลกในปี 2567 เหตุหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนรุ่นใหม่ที่ใช้เชื้อโอไมครอน XBB.1.5 เป็นต้นแบบได้

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  ตอบคำถาม โอไมครอนกลุ่มใด จะเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดไปทั่วโลกในปี 2567? โดยระบุว่า

สายพันธุ์หลัก

คำตอบคาดว่าจะเป็นการระบาดของโอไมครอนกลุ่ม Flip mutation ที่มีการกลายพันธุ์ของกรดอะมิโนบริเวณหนามสองตำแหน่งชิดกัน (double mutation) คือที่ตำแหน่ง L455F หรือ L455S และ F456L ที่คาดว่าสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนรุ่นใหม่ที่อาศัยเชื้อโอไมครอน XBB.1.5 เป็นต้นแบบในการผลิต (new monovalent SARS-CoV-2 variant vaccine)

โอไมครอน เช่น EG.5 มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง F456L อันจะช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนหรือจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ

ส่วนโอไมครอนที่มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งชิดกัน L455F+F456L นอกจะช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน แล้วยังช่วยให้ส่วนหนามของไวรัสเข้ายึดเกาะกับผิวเซลล์ (ACE2) ได้ดียิ่งขึ้น

รุ่นลูกของ BA.2.86 เช่น JN.1 (BA.2.86.1.1) มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L455S อันจะช่วยให้ไวรัสหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ

ปลายปี 2566 โลกได้มีโอกาสรู้จักโอไมครอนรุ่นที่สี่ (fourth generation omicron variants) BA.2.86 หรือที่เรียกว่า พิโรลา (Pirola) เป็นไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรคโควิด-19 ซึ่งถูกตรวจพบครั้งแรกในประเทศเดนมาร์กในเดือนกรกฎาคม 2566 และต่อมาถูกพบในหลายประเทศ

สายพันธุ์นี้เป็นลูกของสายพันธุ์ย่อยโอไมครอน BA.2 ซึ่งทำให้เกิดการระบาดของไวรัสในช่วงต้นปี 2565

โอไมครอน รุ่นที่ 1 คือ BA.1, BA.2 และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย

โอไมครอน รุ่นที่ 2 คือ BA.4, BA.5 และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย

โอไมครอน รุ่นที่ 3 คือ XBB และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย

โอไมครอน รุ่นที่ 4 คือ BA.2.86 และบรรดาลูกหลานสายพันธุ์ย่อย

1 16

โอไมครอน BA. 2.86 จากรหัสพันธุกรรมพบว่า สืบสายสกุลมาจากโอไมครอน ดั้งเดิม  BA.2 ซึ่งแยกจากสายสกุลโอไมครอน XBB ยังไม่อาจคาดคะเนได้ว่าผู้ติดเชื้อโอไมครอน BA.2.86 จะมีอาการที่ไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัด หรือก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง (severe) จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเหมือนในช่วงที่เดลตาระบาดหรือไม่

แต่ในปี 2567 ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านกลับคาดว่าจะไม่ใช่โอไมครอน BA.2.86 และลูกหลานที่ระบาดเป็นสายพันธุ์หลัก แต่จะเป็นการระบาดของกลุ่มโอไมครอน Flip ซึ่งมีการกลายพันธุ์สองตำแหน่งชิดกัน (double mutation) คือที่ตำแหน่ง L455F หรือ L455S และ F456L อันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับกรดอะมิโน ฟีนิลอะลานีน (F) ซีรีน (S) และ ลิวซีน (L) ทำให้ส่วนหนามของไวรัสสามารถจับกับผิวเซลล์ (ACE2) ได้มั่นคงขึ้น ทำให้ไวรัสแทรกเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้น ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงถูกเรียกว่าการ จับคู่-พลิกขั้ว (ของกรดอะมิโน) หรือ Flip

ข้อมูลจากฐานข้อมูลโควิดโลก จีเสส(GISAID) ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาพบว่า จากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม จากตัวอย่างส่งตรวจพบเป็นโอไมครอน กลุ่ม Flip (L455F+F456L) ประมาณ 2.48 หมื่นตัวอย่าง หรือประมาณ 6% จากตัวอย่างทั้งหมดที่สุ่มมาถอดรหัสพันธุกรรมจากทั่วโลก โดยพบในไทย 7 ตัวอย่าง

ขณะที่โอไมครอน BA.2.86 มีการแพร่ระบาดเพิ่มจำนวนอย่างช้า ๆ พบเพียง 1,192 ตัวอย่าง หรือประมาณ 0.29% จากตัวอย่างทั้งหมดที่สุ่มมาถอดรหัสพันธุกรรมจากทั่วโลก โดยยังไม่พบในประเทศไทย

ปรากฏการณ์การกลายพันธุ์แบบจับคู่-พลิกขั้ว หรือ Flip Mutation (Spike L455F + F456L) ทำให้เกิดโอไมครอน XBB รุ่นลูกหลายสายพันธุ์ เช่น

  •  HK.3 (XBB.1.9.2.5.1.1.3) กลายพันธุ์มาจาก EG.5.1 (XBB.1.9.2.5.1) มีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกันคือ L455F และ F456L
    • GK.1.1 (XBB.1.5.70.1.1) กลายพันธุ์มาจาก XBB.1.15 เกิดกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกันคือ L455F และ F456L
    • EG.5.1.8 (XBB.1.9.2.5.1. กลายพันธุ์มาจาก EG.5.1 (XBB.1.9.2.5.1) เกิดกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกันคือ L455F และ F456L

3flip

โอไมครอน HK.3 ได้รับการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมและแชร์บนฐานข้อมูลจีเสส (GISAID) แล้วทั้งสิ้น 6,618 ตัวอย่าง ส่วนโอไมครอน GK.1.1 มีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมและแชร์บนฐานข้อมูลจีเสส 2,699 ตัวอย่าง โอไมครอน EG.5.1.8 จำนวน 596 ตัวอย่างซึ่งต้องเฝ้าติดตามทั้งสองสายพันธุ์ย่อยอย่างใกล้ชิดต่อไป

นอกจากนี้ ยังพบโอไมครอน HK.3 ในประเทศไทยแล้วจำนวน 9 ราย ส่วน GK.1.1 และ EG.5.1.8 ยังไม่พบ (ณ. วันที่ 28 ตุลาคม 2566)

การวิวัฒนาการจาก XBB.1.5 มาเป็น GK.1.1 (XBB.1.5.70.1.1), การวิวัฒนาการจาก EG.5.1(XBB.1.9.2.5.1) มาเป็น HK.3 (XBB.1.9.2.5.1.1.3), และการวิวัฒนาการจาก EG.5.1 มาเป็น EG.5.1.8 เป็นการวิวัฒนาการ แบบเบนเข้า หรือ วิวัฒนาการเชิงบรรจบ (convergent evolution) ที่ธรรมชาติกำหนดให้กับสิ่งมีชีวิต รวมถึงไวรัส ที่แม้ไวรัสจากต่างสายพันธุ์เช่น GK และ HK กลับมีวิวัฒนาการในลักษณะคล้ายคลึงกันคือมีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกัน(double mutation) คือ L455F และ F456L เหมือนกัน เนื่องจากไวรัสทั้งสองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกกดดันด้วยภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติในลักษณะเดียวกัน

ส่วนโอไมครอน BA.2.86 ที่ถูกกดดันโดยภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติทำให้มีการกลายพันธุ์บริเวณหนามเกิดเป็นสายสกุลใหม่รุ่นลูกขึ้นหลายสายพันธุ์ เช่น

  • BA.2.86.1(ORF1a:K1973R)
  • BA.2.86.1.1 หรือ JN.1 (S:L455S, ORF1a:R3821K, ORF7b:F19L)
  • BA.2.86.1.2 หรือ JN.2 (ORF1a:Y621C)
  • BA.2.86.1.3 หรือ JN.3 (ORF1a:T2087I)
  • BA.2.86.3.1 หรือ JQ.1 (S:T95I)
  • BA.2.86.2(ORF7a:E22D)
  • BA.2.86.3(C222T, C1960T, T12775C)

บรรดารุ่นลูกของโอไมครอน BA.2.86 เช่น JN.1 (BA.2.86.1.1) อาจถือได้ว่ามีวิวัฒนาการเชิงบรรจบหรือการเบนเข้าหรือ Flip Mutation เช่นเดียวกับ GK.1.1 (XBB.1.5.70.1.1) และ HK.3 (XBB.1.9.2.5.1.1.3) โดยเริ่มพบการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง L455S โดยคาดว่าจะเข้ามาแทนที่โอไมครอน EG.5.1 ที่เป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้

สายพันธุ์ JN.1 (BA.2.86.1.1) มีการกลายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำกับ XBB.1.5 ถึง 41 แห่ง หรือประมาณ 40%

ส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เกิดขึ้นในโปรตีนส่วนหนาม ซึ่งส่งผลให้มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากความสามารถในการหลบหนีจากระบบภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าโอไมครอน BA.2.86 รุ่นพ่อแม่

การปรากฏขึ้นของสายพันธุ์ย่อยรุ่นลูกของ BA.2.86 ที่เรียกว่า JN.1 (BA.2.86.1.1) แสดงให้เห็นสายวิวัฒนาการของไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มเป็น Flip Mutation

โอไมครอน JN.1 รุ่นลูกของ BA.2.86 พบครั้งแรกในประเทศลักเซมเบิร์กในเดือนสิงหาคม 2566 และต่อมาเจอในหลายประเทศ รวมถึงอังกฤษ, ไอซ์แลนด์, ฝรั่งเศส, และสหรัฐ สายพันธุ์นี้มีความแตกต่างทางพันธุกรรมอย่างมากจากโอไมครอน XBB.1.5

โอไมครอน HV.1 เป็นลูกของสายพันธุ์ EG.5 ในตระกูล ต้นเดือนตุลาคม 2566 พบว่า HV.1 มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสหรัฐ และอาจจะระบาดแทนที่สายพันธุ์ EG.5

มีรายงานว่า HV.1 อุบัติขึ้นในสหรัฐ 25% ของโควิดทุกสายพันธุ์ที่ระบาดหมุนเวียนในสหรัฐในขณะนี้ เพิ่ม นจากประมาณ 1% ในต้นเดือนสิงหาคม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo