ศูนย์จีโนมฯ เปิด 11 ปัจจัย ทำให้ ‘’ หลายชนิด อุบัติขึ้นมากมาย ในระยะนี้
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เปิดเผย 11 ปีจจัยที่ทำให้โรคที่เกิดจากไวรัส เกิดขึ้นเป็นระยะในช่วงนี้ ดังนี้
11 ปีจจัยที่ทำให้เกิดโรคไวรัส
มาทำความเข้าใจ 11 ปัจจัยที่ทำให้โรคไวรัสหลายชนิดอุบัติขึ้นอย่างถี่ในระยะนี้
- วิวัฒนาการของไวรัส: ไวรัสที่กำลังระบาดในระยะนี้(outbreak) เป็นไวรัสที่มีจีโนมเป็นอาร์เอ็นเอโดยทั้งสิ้นซึ่งมีคุณสมบัติเหนือกว่าดีเอ็นเอไวรัสในการวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว สามารถกลายพันธุ์ (mutation)และสามารถนำส่วนของจีโนมมาผสมรวมกัน (recombination/reassortment) เกิดเป็นสายพันธุ์ย่อยใหม่แพร่ระบาดมาสู่สัตว์หรือคน สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของเจ้าบ้าน(สัตว์หรือคน) ที่มีอยู่เดิม
ตัวอย่างเช่นการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ ในปี พ.ศ. 2461 เกิดจากไวรัสสายพันธุ์ย่อยใหม่ (ในขณะนั้น)คือ H1N1 มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 50 ล้านคนทั่วโลก โดยมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 2.5%
- เข้าสู่ยุคเกิดน้อย-ตายช้า ในขณะที่เราเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักคือประชากรสูงอายุมีความเสื่อมถอยของระบบภูมิคุ้มกัน เช่นมีปริมาณของ “อินเตอร์เฟียรอน” ในร่างกายลดลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคไวรัสเป็นพิเศษ และมีอัตราการตายที่สูงขึ้นเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไวรัสไข้หวัดใหญ่และไวรัสโคโรนา 2019 ต่างแสดงให้เห็นถึงอันตรายต่อผู้สูงอายุ โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าเด็กและคนหนุ่มสาวในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ ในขณะที่ประชากรทั่วโลกมีอายุเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กว่า 13 ล้านคน จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของมาตรการและทรัพยากรด้านสาธารณสุขเพื่อปกป้องผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางนี้ในการติดเชื้อพร้อมไปกับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสที่มีศักยภาพในการระบาดไปทั่วโลก (Pandemic)
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลต่อการแพร่กระจายและความอุดมสมบูรณ์ของพาหะนำโรค เช่น ยุง เห็บ และสัตว์ฟันแทะที่แพร่เชื้อไวรัส ไวรัสซิกาซึ่งแพร่กระจายโดยยุงลายขยายขอบเขตเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและรูปแบบปริมาณน้ำฝน ไวรัสซิกาแม้จะมีอัตราการตายต่ำ แต่สามารถก่อให้พัฒนาของทารกในครรภ์เกิดบกพร่อง เช่นศีรษะเล็กและอาจมีความผิดปกติทางระบบประสาทร่วมด้วย
ภาวะโลกร้อนทำให้ “เพอร์มาฟรอสต์” อันหมายถึงชั้นดินชั้นน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งมานานนับหมื่นหรือนับล้านปี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 15% ในซีกโลกเหนือ เริ่มละลายปลดปล่อยไวรัสและจุลชีพที่ยังคงมีชีวิตออกมา และสามารถแพร่เชื้อไปยังสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น อะมีบา ได้
ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านถือว่าไวรัสจากเพอร์มาฟรอสต์ มีความเสี่ยงสูงที่จะก่อให้เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในมนุษย์ เป็นอย่างมาก ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้พบไวรัสเพอร์มาฟรอสต์เพิ่มอีก 5 ตระกูลใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า Orpheoviridae, Klosneuviridae, Hokoviridae, Yasmineviridae และ Cedratviridae ซึ่งติดเชื้อในอะมีบาและแต่ยังไม่พบการติดต่อมาสู่มนุษย์
ไวรัสที่เก่าแก่ที่สุดใน 5 ตระกูลดังกล่าวมีอายุเกือบ 48,500 ปี ตัวอย่างของไวรัสและจุลินทรีย์ก่อโรคที่พบในเพอร์มาฟรอสต์ ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดสเปน 1918 แบคทีเรียแอนแทรกซ์ และไวรัสไข้ทรพิษ ไวรัสและจุลินทรีย์เหล่านี้ถูกพบในหลุมฝังศพหรือซากสัตว์ที่ตายจากโรคเหล่านี้ และถูกแช่แข็งในชั้นดินเยือกแข็ง หลายฝ่ายมีความกังวลว่าพวกมันอาจถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อมเมื่อเกิดการละลายของดินเยือกแข็งเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าความเสี่ยงของการระบาดในวงกว้างจากเชื้อโรคในชั้นดินเยือกแข็งจะถือว่าต่ำ แต่ก็มีการวิจัยอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และกลยุทธ์ในการบรรเทาผลกระทบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคเหล่านี้สู่สิ่งแวดล้อม
- การขยายตัวของเมือง: การขยายตัวของเมืองจะเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายของไวรัส เนื่องจากผู้คนอาศัยอยู่ใกล้กัน เช่นในคอนโดมิเนี่ยมและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น โดยมีอัตราการเสียชีวิตโดยประมาณอยู่ระหว่าง 1-5% ขึ้นกับแต่ละเขตพื้นที่
- การเดินทางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น: การเดินทางทั่วโลกทางเครื่องบินช่วยสนับสนุนการแพร่กระจายของไวรัสข้ามพรมแดนและทวีปต่างๆ การระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ H1N1 ในปี 2009 แพร่กระจายอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเดินทางทั่วโลกทางเครื่องบิน
- โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขที่จำกัด: ทรัพยากรด้านการดูแลสุขภาพในหลายประเทศที่ไม่เพียงพอทำให้การป้องกันการระบาดและการรักษาการติดเชื้อจากไวรัส ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ตัวอย่างเช่น การระบาดของโรคอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกในปี 2557 รุนแรงมากเนื่องจากขาดทรัพยากรด้านการรักษาพยาบาลและการประสานงาน โดยมีอัตราการเสียชีวิตตั้งแต่ 25-90% ขึ้นกับคุณภาพของการรักษาในแต่ละเขตชุมชน
- สุขอนามัยที่ไม่ดี: การปฏิบัติด้านสุขอนามัยที่ไม่ดีสามารถแพร่กระจายไวรัสได้ง่าย เช่น โนโรไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ แม้มีอัตราการตายต่ำ โดยปกติจะน้อยกว่า 1% แต่อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มเสี่ยงได้ เป็นปัญหามากในค่ายผู้ลี้ภัยทั่วโลก
- พฤติกรรมของมนุษย์: พฤติกรรมของมนุษย์มีอิทธิพลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสและการป้องกัน โดยผู้คนยอมรับหรือละเลยมาตรการทางสาธารณสุขของโควิด-19 ต้องเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามแนวทางด้านสาธารณสุข กล่าวคือ การกินร้อน-ช้อนกลาง-สวมหน้ากากอนามัยในที่ชุมนุม-ล้างมือด้วยน้ำและฟอกสบู่หรือใช้เจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า 70%-ทานน้ำสะอาดต้มสุก-ป้องกันสัตว์หรือยุงกัด
และปัญหาล่าสุดคือคนปฏิเสธการฉีดวัคซีน เนื่องจากกังวลผลต่อข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
- วัคซีนและภูมิคุ้มกัน: วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโดยการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน แต่ไวรัสบางชนิดสามารถหลบเลี่ยงหรือหลบหนีการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน การพัฒนาและการแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชนที่อยู่ห่างไกล มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส โดยการฉีดวัคซีนต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น ความปลอดภัย ประสิทธิภาพ การเข้าถึง และการยอมรับเข้าฉีดวัคซีน
- น้ำและอาหารที่ปนเปื้อน: ไวรัสบางชนิดแพร่กระจายผ่านทางน้ำและอาหารที่ปนเปื้อน ทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินอาหารหรือตับอักเสบ ไวรัสตับอักเสบ เอ แพร่กระจายผ่านทางอาหารและน้ำที่ปนเปื้อน โดยอัตราการเสียชีวิตมักน้อยกว่า 1% แต่อาจมีอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนได้
- ไวรัสดื้อยา: ไวรัสบางชนิดสามารถพัฒนาความต้านทานต่อยาต้านไวรัส ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง เชื้อเอชไอวีสามารถกลายพันธุ์และดื้อต่อยาต้านไวรัสหลายตัว ทำให้ยากต่อการควบคุม หากไม่มีการรักษา เอชไอวีสามารถพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ด้วยอัตราการเสียชีวิตเกือบ 100%
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เผยหญิงไทยป่วย ‘มะเร็งเต้านม’ สูงสุด แนะควรตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน พบเร็วรักษาหาย
- แนะดูแลสุขภาพ ในสถานการณ์ ‘PM2.5’ ตามศาสตร์แพทย์แผนไทย
- เผย คนไทยเป็น ‘โรคไตเรื้อรัง’ กว่า 11 ล้านคน แต่มีผู้ป่วยไม่ถึง 2% ที่รู้ตัวว่าป่วย