ปิดเทอมพาลูกเที่ยวสวนสนุก คาเฟ่ ผู้ปกครองต้องระวังโรคติดต่อในเด็ก และ โรคติดเชื้อ มีอาการแบบนี้ต้องรีบพบแพทย์ด่วน!
หลังสถานการณ์โควิดและการล็อกดาวน์ที่ยาวนาน เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เด็กๆ กลับไปเรียนที่โรงเรียน โรคติดต่อในเด็กต่างๆ กลับมาระบาดเหมือนเดิม เมื่อมีกิจกรรมการรวมกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการไปโรงเรียน สวนสนุก หรือคาเฟ่ ทำให้เกิดการติดต่อของเชื้อโรคทางเดินหายใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งโรคทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ RSV โรคมือเท้าปาก
โรคติดต่อในเด็กที่พบบ่อย ได้แก่ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจและโรคติดเชื้อทางเดินอาหาร
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คน ผ่านของเหลวที่ออกมาจากร่างกาย เช่น น้ำลายหรือเสมหะ จากการไอจามและทางลมหายใจ เชื้อโรคจะยิ่งเติบโตและแพร่กระจายได้ดีในช่วงที่มีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนและช่วงหน้าหนาว
- โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสโดยตรงหรือทางอ้อมจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคในอาหารและน้ำ และมักจะเกิดการติดต่อกันในช่วงเปิดเรียน เพราะเด็กๆ มักจะกินข้าว ดื่มน้ำ ด้วยกัน มีปฏิสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ระมัดระวัง
โรคไข้เลือดออกในเด็ก (dengue fever)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังได้ยินข่าวว่าไข้เลือดออกได้คร่าชีวิตเด็กและผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในประเทศเขตร้อนและระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี อาการแสดงของโรคมีตั้งแต่ ไม่มีอาการผิดปกติไปจนถึงมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ไข้เลือดออกยังเป็นโรคที่คาดเดาได้ยากว่าจะอาการรุนแรงหรือไม่
สาเหตุการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี 1 ใน 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 ผ่านการกัดของยุงลายบ้าน หรือยุงไข้เหลืองเพศเมีย (aedes aegypti) เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดผู้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกีช่วงที่ไวรัสแพร่กระจายในกระแสเลือด และยุงตัวนั้นไปกัดผู้อื่น เชื้อไวรัสเดงกีจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกกัดจนทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัส
อาการของโรคไข้เลือดออกในเด็ก
เนื่องจากเชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ มีการแพร่ระบาดสลับหมุนเวียนกัน ทำให้ในแต่ละปีมีสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดแตกต่างกันออกไป ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้ง กรณีติดเชื้อครั้งที่ 2 เกิดจากสายพันธุ์ที่แตกต่างจากครั้งแรก อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยอาการของโรคไข้เลือดออกแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะไข้สูง (febrile phase) เป็นระยะไข้สูงลอยแบบเฉียบพลัน มีไข้ 39-40 องศาเซลเซียส นานติดต่อกัน 2-7 วัน ระยะนี้มักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- ปวดเบ้าตา
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- เบื่ออาหาร
- ปวดข้อ ปวดกระดูก
- มีจ้ำเลือดบริเวณผิวหนัง
- ระยะวิกฤติ (critical phase) หลังระยะไข้สูงประมาณ 3-7 วัน ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะช็อก หมดสติ หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิต โดยมีอาการ ดังนี้
- ปวดท้องอย่างรุนแรง (บริเวณชายโครงขวา)
- คลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
- ไม่สามารถรับประทานอาหาร
- เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
- ปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
- มีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง
- หายใจลำบาก
- เหนื่อยล้า ซึมลง
- ความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ
- ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือช็อก อาจเสียชีวิตได้
- ระยะฟื้นตัว (recovery phase) หากผ่านระยะไข้สูงโดยไม่ได้เข้าสู่ระยะวิกฤต หรือพ้นจากระยะวิกฤต 1 – 2 วัน จะเป็นช่วงระยะฟื้นตัว โดยอาการต่างๆ จะเริ่มดีขึ้น ร่างกายกลับมาทำงานตามปกติ เป็นระยะที่ปลอดภัย มีสัญญาณ ดังนี้
- ไข้ลดลง
- ชีพจรเต้นปกติ
- สามารถปัสสาวะเองได้
- มีความอยากอาหารมากขึ้น
- มีผื่นเป็นวงสีขาวสากๆ ขึ้นตามร่างกาย
การรักษาโรคไข้เลือดออก
เมื่อแพทย์ยืนยันผลการตรวจพบโรคไข้เลือดออก จะเริ่มทำการรักษาด้วยการช่วยให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อกลับเข้าสู่สภาวะปกติเร็วที่สุด และป้องกันภาวะช็อก ดังนี้
- ให้สารน้ำทางหลอดเลือด หรือให้น้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือดดำ
- รับประทานยาแก้ปวด ลดไข้
- ดื่มผงเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ
- ให้เลือด กรณีมีเลือดออกมาก
- การรักษา จำเป็นต้องมีการเจาะเลือดเป็นระยะเพื่อตรวจค่าเลือด เพื่อเฝ้าระวังภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวลดต่ำ เม็ดเลือดแดงเข้มข้น หรือความดันโลหิตต่ำ
การป้องกันโรคไข้เลือดออก
- ป้องกันไม่ให้ยุงกัด เช่น ทายากันยุง สวมเสื้อแขนยาว
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเฉพาะบริเวณน้ำนิ่งและน้ำขัง
- ปัจจุบันมีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ชนิดล่าสุด อย่างแพร่หลาย ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ ได้ศูงถึง 80.2% และป้องกันอาการรุนแรงได้ 90.4% โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน สามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน
โรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot and Mouth Disease : HFMD)
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (enterovirus) ที่พบบ่อย ได้แก่ คอกแซกกี (Coxsackie virus) และเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71: EV71) ระบาดในประเทศไทยระบาดช่วงฤดูฝน ส่วนใหญ่พบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี แม้อาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ภายใน 7-10 วัน แต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
อาการของโรคมือเท้าปาก
- มีไข้
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- มีน้ำมูก
- เจ็บปาก เจ็บคอ
- ไม่ยอมดื่มนม
- รับประทานอาหารได้น้อยลง
- มีตุ่มนูนแดงหรือมีน้ำใส ขึ้นตามเยื่อบุปาก ลิ้น เหงือก
- มีผื่นขึ้นที่มือและเท้า ซึ่งจะกลายเป็นตุ่มน้ำสีขุ่นตามมา สามารถฝ่อแห้งไปเองโดยไม่เหลือรอย
- ภาวะแทรกซ้อนของโรคมือเท้าปากอาจรุนแรงทำให้ถึงแก่ชีวิต ดังนั้นควรหมั่นสังเกตอาการ แล้วรีบไปพบแพทย์ อาทิ
- รับประทานอาหารลำบาก
- แขนขาอ่อนแรง
- ซึมลง
- ชัก
- เยื่อหุ้มประสาทอักเสบ
- เนื้อสมองอักเสบ
- ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้หัวใจล้มเหลวและเสียชีวิต
การรักษาโรคมือ เท้า ปาก
- รับประทานยาลดไข้
- ใช้ยาทาบริเวณแผลในปากเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ
- รับประทานอาหารที่มีรสอ่อน
- จิบน้ำเย็น หรือน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำ
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการอักเสบและความเจ็บปวด
- งดรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว น้ำผลไม้ หรือโซดาเนื่องจากมีกรด
- รับประทานของเย็น ๆ เช่น น้ำแข็ง ไอศกรีม และโยเกิร์ตเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
การป้องกันโรคมือ เท้า ปาก
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อผ่านการสัมผัสเชื้อไวรัสที่ออกมาทางอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำบริเวณผิวหนัง หรือละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ติดเชื้อ การป้องกันโรคที่ดีที่สุด คือยึดหลักการรักษาสุขอนามัย ดังนี้
- กรณีพบเด็กป่วยโรคมือ เท้า ปาก ในโรงเรียน ต้องทำการปิดโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็กเพื่อทำความสะอาด
- หากมีการระบาดให้พ่อแม่หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ชุมชนหรือที่มีคนจำนวนมาก
- ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลให้สะอาดทุกครั้ง ก่อน-หลังรับประทานอาหารและหลังขับถ่าย
- ตัดเล็บให้สั้น หมั่นรักษาความสะอาดของร่างกายอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ แปรงสีฟัน
- หมั่นดูแลรักษาความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ ของเล่นและสถานที่อยู่เสมอ
- ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปาก การฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อหรือลดรุนแรงเมื่อเป็นโรค โดยวัคซีนจะช่วยป้องกันเชื้อไวรัสชนิดเอนเทอโรไวรัส 71 (EV 71) ซึ่ง เป็นสาเหตุหลักของอาการรุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิต สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 6 เดือน – 5 ปี โดยฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ระยะห่างกัน 1 เดือน
โรคติดเชื้ออาร์เอสวี (RSV)
โรค RSV เป็นไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม ชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus มี 2 สายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B เป็นไวรัสก่อการติดเชื้อทางเดินหายใจของเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมีการระบาดช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฎาคม- กันยายน แต่สามารถพบโรคนี้ในเด็กได้ตลอดทั้งปีอาการเมื่อติดเชื้อไวรัส RSV โรคติดเชื้อไวรัส RSV ใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวมซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งนี้ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ ส่วนใหญ่เด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักเริ่มต้นด้วยไข้หวัดธรรมดา ไข้ต่ำ มีน้ำมูก และไอ หลังจากนั้นอาการจะรุนแรงขึ้น ดังนี้
- ไข้สูงขึ้น
- ไอมาก
- หายใจลำบาก หายใจหอบเร็ว และมีเสียงหวีด
- มีอาการซึม
- ไม่รับประทานอาหาร
- ไม่ดื่มน้ำ ไม่ดื่มนม
เมื่อไหร่ที่ควรมาพบแพทย์
- เด็กเล็กต่ำกว่า 2 ปี หากมีอาการข้างต้น ควรพามาพบแพทย์ทันที
- ไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส
- ซึมลง
- มีภาวะขาดน้ำ
- ไอมาก
- หายใจหอบเหนื่อย
การรักษาโรค RSV ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV ต้องรักษาตามอาการ ดังนี้
- ใช้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ละลายเสมหะ
- กรณีมีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะ
- หากมีอาการขาดน้ำอาจต้องให้สารน้ำทางเส้นเลือด
การป้องกันเชื้อไวรัส RVS ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อ RSV จึงควรป้องกันตัวเอง ดังนี้
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนเพียงพอ และออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
- ล้างมือบ่อย ๆ
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเปิดเทอมไปโรงเรียน หยุดอยู่บ้าน หรือออกไปเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่ เด็กๆ ควรได้รับการดูแลสุขภาพร่างกาย ทั้งด้านความสะอาด และเคร่งครัดด้านสุขลักษณะให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ รวมถึงสร้างภูมิต้านทานให้ตัวเองแข็งแกร่ง ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ให้ครบ เพื่อที่จะสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ให้เด็กๆ มีพัฒนาการการเจริญเติบโต เป็นหนุ่มเป็นสาวสมวัย
ขอบคุณข้อมูล : พญ.วิริยาภรณ์ จันทร์รัชชกูล โรงพยาบาลสมิติเวช
อ่านข่าวเพิ่มเติม
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- Twitter: https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg