Travel

Life in Phnom Penh….วันแรก!!

ปกต๋อย อันนี้

 

ประเทศกัมพูชา เป็นประเทศที่เราไม่เคยสัมผัสแบบลึกซึ้ง จะมีครั้งหนึ่งที่ได้เหยียบแผ่นดินที่ใกล้ชิดกับประเทศนี้ที่สุดก็ครั้งไปทำข่าวที่ “ผามออีแดง” ร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. แต่ครั้งนั้นก็กินเวลากว่า 10 ปีแล้ว

“กรุงพนมเปญ” เมืองหลวงของกัมพูชา เป็นเมืองที่กำลังพัฒนา มีนักลงทุนจีน ไต้หวัน เข้าไปลงทุนจำนวนมาก เลยอยากแชร์ประสบการณ์การใช้ชีวิตที่นั่น เพราะคิดว่าเพื่อน ๆ หลาย ๆคนก็ยังคงไม่เคยไปเหมือนเรา

หลังจากที่สามีตัดสินใจว่า เมื่อหมดสัญญาเช่าคอนโดที่สิงคโปร์ในเดือนธันวาคม 60 พวกเราจะย้ายไปอยู่ที่พนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อนบ้านเราเอง
ถามว่าตื่นเต้นไหม….ก็ไม่
อยากไปไหม….ก็ไม่ได้อยากไป แต่ถ้าต้องไปก็ไป
แบบว่าไปก็ได้ …ไม่ไปก็ได้

บ้านที่เราจะไปอยู่นั้นเป็นทาวเฮาส์สูง 3 ชั้น เราอยู่ชั้น 3 ไม่มีลิฟต์ ใครจะไปเที่ยวเตรียมตัวไว้เลยนะขึ้นบันไดนะจ๊ะ

ส่วนโรงเรียนของ “อลิส” ลูกสาววัย 6 ขวบครึ่งนั้น เป็นโรงเรียนใกล้บ้าน มีสอนภาษาอังกฤษ จีนกลางและภาษาเขมร ดังนั้น “อลิส” จะได้เรียนภาษาเขมรเป็นภาษาที่ 6 นอกเหนือจากภาษาไทย, ภาษาไทย (ภาคเหนือ), ภาษาอังกฤษ,ภาษาจีน และภาษาสเปน

และแล้วก็มาถึงวันที่ต้องบินมาพนมเปญ ติด ๆ ขัด ๆ ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินสิงคโปร์ เนื่องจากสายการบินเปลี่ยนเวลาบินแล้วไม่ได้แจ้งทางอีเมล แต่แจ้งทาง SMS ซึ่งสามีไม่เห็น จากนั้นก็ดีเลย์จนกระทั่งดึก พวกเรา 3 คน พ่อแม่ลูกมาถึงราว ๆ 5 ทุ่มกว่าแล้ว สภาพสนามบินด้านในคล้าย ๆ สนามบินตามต่างจังหวัดเล็ก ๆ ของบ้านเรา

พ่อ แม่ ลูก 3 ชีวิตมีสัมภาระทั้งสิ้น 9 ชิ้น คือกระเป๋าเดินทาง 3 ใบใหญ่ และ 3 ใบเล็ก พร้อมเป้คนละใบ แท็กซี่ที่ให้บริการในสนามบินมีแต่คันเล็ก ๆ สามีเลยเรียกอูเบอร์ แต่ต้องเดินออกมาขึ้นรถด้านนอก ทุกคนต้องลากกระเป๋าออกมาอย่างทุลักทุเล รวมถึง “อลิส” นางต้องช่วยลากกระเป๋าใบเล็กด้วย 1 ใบบนพื้นถนนขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ และที่สำคัญคือ “มืด”

พอออกมาด้านนอกสนามบิน ฝุ่นคลุ้งมาก สิ่งที่เห็นคือขยะเป็นกอง ๆ ตุ๊ก ๆ ยังจอดรอลูกค้าอยู่ด้านหน้าสนามบิน ทุกคนรีบขนของขึ้นรถ มุ่งตรงไปยังที่พัก โดยแผนที่วางไว้คือ เอาของไปเก็บที่บ้านที่เราจะย้ายเข้าไปก่อน จากนั้นก็ไปนอนโรงแรม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้าน

ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงที่พัก ระหว่างทางสิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ร้านค้าเรียงรายตามข้างทาง พร้อม ๆ กับกองขยะ ร้านค้าบางส่วนกำลังปิด คนเก็บขยะกำลังคุ้ยเขี่ยหาสิ่งของที่พอจะนำไปขายได้ คิดในใจ….ก็คงเหมือนบ้านเรา

เมื่อรถแท็กซี่วิ่งมาถึงที่พัก ขนสัมภาระทั้งหมดลงมาจากกองไว้บนพื้น สามีก็เดินไปหยิบกุญแจจากโรงแรมตรงข้าม เพราะฝากเพื่อนให้ฝากไว้กับพนักงานโรงแรมอีกที ส่วนเรายังคงยืนเก้ๆกังๆ หันซ้ายแลขวา สำรวจพื้นที่โดยรอบ จากนั้นก็ต้องตกใจกับเสียงประตูอลูมิเนียมที่สามีเปิดดังปั้ง เพราะไปชนกับผนังร้านค้า

l1

นี่คือประตูทางเข้าบ้านเรา สภาพตอนนี้ถือว่าดีกว่าช่วงแรก ๆ เยอะเลย

ในความตกใจเสียง ก็มีความช็อคเกิดขึ้น สภาพที่พอจะมองเห็นในความมืดนั้น คือกองสายไฟ ขดลวด กระสอบใส่ของวางกระจัดกระจายขวางทางเข้า จนเหลือทางเดินเพียงน้อยนิด มอเตอร์ไซค์และจักรยานจอดซ้อนกันไปมา และมีข้าวของเรียงเป็นแนวยาวเข้าไปถึงบันไดทางขึ้นตึก ทางเดินมีแต่ฝุ่น กลิ่นเหม็นอับจนน่าเวียนหัว

l23

สามีรีบขนกระเป๋าเข้าไป ขณะที่กำลังขยับกระเป๋าเดินทาง ก็ได้ยินเสียงลูกสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ พร้อมตะโกนว่า หนูๆๆๆตัวใหญ่มาก พอแม่หันไปที่กองขยะตรงหน้าก็เจอกับหนู 2 ตัว กำลังเขี่ยถุงขยะอยู่ วัดขนาดคร่าวๆ จากสายตาตัวใหญ่พอ ๆ กับต้นขาลูกสาวเราเลย เมื่อหนูได้ยินสองแม่ลูกโวยวาย พวกมันก็รีบวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว

l4

นี่คือเปิดแฟลซกล้องนะคะ ความจริงคือมืดมาก ช่วงแรก ๆ แทบเดินไม่ได้ เพราะป้าแกเล่นวางขวางทางขึ้นเลย ต้องเอียงตัวขึ้น

ขณะที่สามีต้องเดินเข้าออกหลายรอบ เพื่อขนกระเป๋าเข้าไปในตัวตึก และขนขึ้นไปถึงชั้น 3 เราและลูกยืนเฝ้ากระเป๋าอยู่ชั้นล่างตรงบันได มีแสงไฟสลัวๆ จากเพื่อนบ้าน พอที่จะมองเห็นบันไดทางขึ้นอยู่บ้าง อยู่ ๆ ก็มีหนูอีกตัววิ่งลงมาจากชั้นบน ลูกสาวตกใจพร้อมกระโดดไปมา

l5

ป้าที่อยู่ชั้นหนึ่ง แกเก็บของไว้เยอะมาก ไม่ได้เก็บเฉพาะที่บันไดทางเดิน แต่ในบ้านป้าก็มีของอยู่เต็มไปหมด จะเรียกว่า “บ้าสมบัติ” ก็คงได้

หลังจากมองสภาพที่อยู่อาศัยของเรา “อลิส” ก็เริ่มงอแง นางพูดกับเราด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ว่า “พวกเราจะอยู่ที่นี่เหรอ?” พร้อมชี้ไปยังบันไดทางขึ้น แล้วพูดว่า “ดูนี่สิ ทั้งมืด ทั้งสกปรก ทางขึ้นก็เป็นแบบนี้” เราก็ได้แต่ปลอบใจว่า คืนนี้เราไม่ได้นอนที่นี่ เราจะไปนอนกันที่โรงแรม เราแค่เอาของมาเก็บเฉยๆ ลูกสาววัย 6 ขวบครึ่งยังถามต่ออีกว่า “เราจะอยู่โรงแรมตลอดไปไหม?”

แม่เริ่มเป็นกังวลแล้วสิ ว่าลูกจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ไหม!!

คืนนั้นพวกเราพักกันที่โรงแรม พ่อบ้านรู้ว่าเราสองแม่ลูกค่อนข้างช็อคกับสิ่งที่เจอ ได้แต่พูดปลอบใจเราว่า “ถ้าไม่ชอบหรืออยู่ไม่ได้เราค่อยหาที่พักใหม่ คืนนี้นอนไปก่อน ค่อยตัดสินใจ” ….แล้วพวกเราก็หลับไปเพราะความเพลีย

Avatar photo
Dozo Toy Life in Phnom Penh