ปู แบล็คเฮด น้ำตาคลอ เปิดใจเล่านาทียื้อ นุ๊กซี่ ปั๊มหัวใจนับ 10 ครั้ง เผยคำพูดเคยสั่งเสียไว้ ถ้าไม่ไหวขอให้ปล่อยไป ตั้งใจออกจากโรงพยาบาลรอบนี้จะจัดงานแต่งงาน
ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก สำหรับร็อกเกอร์หนุ่มรุ่นใหญ่ ปู แบล็คเฮด หรือ อานนท์ สายแสงจันทร์ หลังต้องสูญเสีย นุ๊กซี่ อัญพัชญ์ แฟนสาวที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับในวัยเพียง 34 ปี หลังจากที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวจากอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งมาพักใหญ่
ปู แบล็คเฮด น้ำตาคลอ เล่านาทียื้อ นุ๊กซี่ ปั๊มหัวใจนับ 10 ครั้ง เผยคำพูดเคยสั่งเสียไว้
“จากการวินิจฉัยของหมอตอนเข้าโรงพยาบาลล่าสุดนี้ก็คือ จริงๆ ไม่ได้ดีขึ้นแต่นุ๊กเขาไม่อยากบอกใครว่า อาการเขาไปถึงไหนเป็นยังไงแล้ว แล้วอีกอย่างตัวผมเองก็ไม่ได้บอกกับนุ๊กหมดทุกอย่างว่ามันไปถึงไหนแล้ว”
“จริง ๆ หลังจากที่ผ่าเต้านมออก ก็เลาะต่อมน้ำเหลืองออกข้างหนึ่ง แล้วก็ไปที่สมองและก็ลงมาที่ปอด คือมันอยู่ในระยะแพร่กระจาย มันก็ไปทุกที่แล้ว เข้าไปทางเลือด ทางต่อมน้ำเหลือง จนมีภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ปอดน้องก็เลยหายใจเหนื่อย หายใจไม่ออกและก็หลับ”
“ทุกอย่างมันฟึ้บ ๆ เร็วไปหมดเลย คุณหมอ พยาบาลมาเป็น 10 แล้วผมเข้าไปก็คือเห็นแต่ภาพการปั๊มหัวใจ นุ๊กเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม ก็เกือบเดือน เดิมทีคุณหมอบอกว่า ถ้าเกิดรักษาไวรัสที่ปอด พอดีว่าภูมิเขาตกมาก ๆ มันจึงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เยอะ ล่าสุดที่เข้าไปก็เป็นไวรัสที่ปอด เอ็กซเรย์มาก็เห็นเป็นฝ้าที่ปอด วินิจฉัยแล้วน่าจะเป็นตัวไวรัส คุณหมอจึงให้ยาฆ่าเชื้อ พอให้ยาฆ่าเชื้อ ก็ต้องชะลอการให้คีโมอีกครั้งหนึ่งไปใช้เวลาเกือบเดือน พอให้คีโมล่าช้า มันก็โตขึ้นและทำให้ภาวะต่างๆ นานามันแทรกซ้อนขึ้นเยอะมาก มันจึงมีลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด เขาเลยหายใจไม่ออก”
“ตอนนั้นให้คีโม 18 ครั้งฉายแสง 10 ครั้ง จริง ๆ ต้องให้คีโมแบบยาเม็ดอีกรอบหนึ่ง ซึ่งยังไม่ทันได้ให้ ต้องมารักษาไวรัสที่ปอดคือคุณหมอบอกว่า 29 -30 มีนาคมนี้ น่ามีเปอร์เซ็นต์ได้กลับบ้าน เพราะไวรัสที่ปอด จากค่าไวรัสประมาณ 30,000 ล่าสุดเหลือแค่ 200 ถ้าเหลือ 50 หมอให้กลับบ้านเลย แล้วยาคีโมก็ให้กินเอา กลับไปกินที่บ้านได้ แต่ว่ามันเป็นภาวะเฉียบพลันมาก ตรวจไม่รู้มาก่อนว่า มันจะมีภาวะลิ่มเลือดแข็งตัวแล้วไปอุดตัน”
“ในคืนนั้นผมต้องออกไปทำงาน อีกคืนต่อมาผมก็จ้างพยาบาลมาเฝ้า แต่พยาบาลโทรมาบอว่าพี่ปู พี่นุ๊กไม่ไหวแล้ว พี่นุ๊กเหนื่อยมาก ผมก็เลยบอกโอเค เดี๋ยวผมจะรีบเข้าไป สักพักผมก็โทรกลับไปถามว่าจะเข้าได้ไหม เพราะว่าต้องมีการตรวจ RT-PCR ก่อนเข้า ก็ยังไม่ทันได้ตรวจ ผมก็เลยถามว่างั้นแค่ตรวจ ATK ฉุกเฉินของโรงพยาบาลได้ไหม เขาก็บอกได้ เพราะว่าตอนนี้น่าจะต้องรีบมาแล้ว ก็เลยรีบขึ้นไป พอขึ้นไปเขาก็ปั๊มหัวใจแล้ว ปั๊มอยู่ประมาณ 10 ครั้ง จนคุณหมอบอกว่า ถ้าสมมติว่าครั้งสุดท้ายเขาไม่ไหวแล้ว ชีพพจรเขาอ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ หยุดเมื่อไหร่หมอก็ต้องปล่อย”
“เขาเคยพูดกับผมไว้ว่า (น้ำตาคลอ) ถ้าอยู่ในภาวะนี้ อย่าปล่อยให้เขารู้เรื่องแต่ทำอะไรไม่ได้ ให้ถอดท่อแล้วก็ปล่อยเขาไป เขาพูดไว้ประมาณเดือนหนึ่งครับ ที่ผ่านมาน้องสู้เยอะมาก จิตใจดีแข็งแรง แล้วก็พยายามไม่อยากให้ใครเป็นห่วง ไม่อยากให้คนใกล้ตัวแม้แต่แม่ผม หรือว่าพี่น้องผมที่อยู่บ้านใกล้ ๆ กัน หรือคุณพ่อคุณแม่เขาเอง”
“เขาบอกผมว่าอย่าไปบอกพ่อบอกแม่นะว่า ตอนนี้เราไปถึงไหนแล้ว เป็นอะไรบ้าง เพราะไม่อยากให้เขาเป็นห่วง เขาไม่อยากให้ใครเป็นห่วงเลย กับพี่ ๆ สื่อมวลชนที่เขาไม่อยากให้สัมภาษณ์ เพราะกลัวปากต่อปากไปถึงคุณพ่อคุณแม่ แล้วท่านจะเสียใจมาก ถ้าเกิดทุกคนเสียใจแล้วโทรมาหาเขา เขาจะรู้สึกไม่โอเคมากๆ เพราะที่ผ่านมาเขากำลังใจดีมาตลอด ปกติเขาเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว จะคิดถึงแต่คนอื่นก่อนตัวเอง”
“ที่ผ่านมาพยายามสร้างพลังบวก อยู่ด้วยกันแบบสนุกสนาน ก็ดูแลกันไป ต้องไม่บอกว่าสภาพเขาเป็นยังไง ต้องไม่บอกว่าเขาแตกต่างจากเมื่อก่อนไหม เพราะพอมันเป็นโรคนี้สภาพร่างกายมันก็เปลี่ยนไปเยอะ เขาเองยังไม่อยากรู้เลยว่าตัวเองไปถึงไหน”
“ก็ต้องให้กำลังใจกันครับ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็หาย อย่างสมมติตัวบวม เดี๋ยวมันก็หาย ถ้าไม่มีแรงเดี๋ยววันนึงกินโปรตีนเยอะ ๆ นะ เดี๋ยวก็มีแรงขึ้นมา ก็พยายามทีละสเต็ปไป เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วโรคแบบนี้คุณหมอได้บอกไว้ว่าประมาณสักปีหนึ่ง แต่นี่ยังไม่ถึงเดือน”
“ถามว่าเขามีร้องไห้บ้างไหม มีบ่อยครับ ร้องไห้แบบเขาอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาคนนู้นคนนี้ แม้กระทั่งหมาที่บ้าน ดูรูปหมาก็ร้องไห้”
“ตั้งใจว่าออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้จะขอแต่งงาน ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ผมคิดว่าถ้าเขาแค่อาการดีขึ้นกว่านี้นิดนึง (น้ำตาคลอ) เพราะเขาพูดตลอดเวลาว่าเขาอยากมีงานแต่งงานเล็กๆ แบบไหนก็ได้ เอาแบบเท่าที่ทำได้ ณ ตอนนี้ ผมอะคิดไว้ แต่ก็รอดูว่าเขาจะไหวไหม คือความฝันของเขาเลย”
“ก่อนที่เขาจะจากไป ไม่ทันได้พูดอะไรเลยครับ เพราะทุกอย่างมันเร็วมาก ผมเข้าไปก็เห็นแต่ภาพการปั๊มหัวใจอย่างเดียวครับ”
“ที่ผ่านมา น้องดูเป็นห่วงเรามาโดยตลอด เขาบอกที่เขาทำอะไรไม่ได้ เขาห่วงเรา เพราะเขาอยากดูแลเรา วันที่เราเดินทางมาเจอกัน เขาบอกว่า หนูจะได้ดูแลพี่ เพราะพี่อายุเยอะแล้ว (ยิ้ม) เดี๋ยวพี่แก่ไป หนูจะดูแลเองนะ เดี๋ยวหนูจะหางานมาให้พี่เยอะ ๆ นะ แม้แต่ค่ารักษาการเจ็บไข้ได้ป่วย เขาบอกว่าตอนนี้พี่ออกไปก่อนนะ ถ้าหนูออกมา หนูแข็งแรง หนูจะหาเงินมาให้พี่เยอะ ๆ เขาคิดเยอะมากเรื่องพวกนี้ เขามีความตั้งใจที่จะดูแลเรา เขาไม่อยากให้เราเหนื่อย พอเห็นเราเหนื่อยต้องไปทำนู่นทำนี่ แทนที่เขาจะได้ดูแลเรา แต่เรากลับต้องไปดูแลเขา”
“สภาพจิตใจเราตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงหรอกครับ แต่คิดว่ามันก็น่าจะดีขึ้น แต่ช่วงนี้ยังคิดอะไรไม่ออกครับ นุ๊ก ถือเป็นรักแท้สำหรับเราเ ก็ถือว่าที่สุดแล้วของชีวิตตอนนี้ ไม่รู้ว่าด้วยอะไร ไม่รู้ว่าใช่เรื่องที่มันถึงวัยหรือเปล่า หรือด้วยความดีของเขา หรืออะไรหลายๆ อย่าง มันทำให้รู้สึกว่าคือที่สุดแล้วครับ”
“ตอนนี้ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ เขาก็รู้แหละว่ายังไงผมก็มีเขาไปตลอด ตอนนี้เขาก็สบายแล้ว ต้องขอบคุณพี่ๆ ทุกคนด้วยที่เอ็นดูน้องนุ๊ก และสนใจในเรื่องราวของน้องนุ๊กมาโดยตลอด ขอบคุณมาก ๆ ครับ”
“ขอบคุณคุณหมอ พยาบาลที่รักษาน้องนุ๊กมาตลอดนะครับ และแฟนคลับทุกคนที่ไม่ว่าน้องนุ๊กจะลงโซเชียลอะไรใด ๆ ไป ก็จะมีแต่คนมาให้กำลังใจ และสมาคมที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง ที่ยึดนุ๊กเป็นหนึ่งกำลังใจให้กับคนที่เป็นโรคมะเร็งทั่วประเทศนะครับ ก็ถ้าเป็นแล้วก็ต้องสู้แบบนุ๊ก ถึงแม้วันหนึ่งจะยังไงก็แล้วแต่ บางคนก็หายนะ แต่บางคนก็ไม่ได้โชคดีเสมอไป อย่างนุ๊กเองก็สู้เต็มที่ ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองก็ไม่เป็นคนโชคดี ซึ่งก็ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งทุก ๆ คนด้วยแล้วกันครับ แล้วก็ขอบคุณแฟนคลับทุกคนแทนน้องนุ๊กด้วย”
ขอบคุณคลิปจาก วันบันเทิง oneบันเทิง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปิดเส้นทางรัก ‘ปู-นุ๊กซี่’ จูงมือฝ่าคำครหา เคียงข้างแม้ป่วยหนัก มั่นคงจนลมหายใจสุดท้าย
- เปิดโพสต์สุดท้าย ‘นุ๊กซี่’ ถึงแฟนหนุ่ม ‘ปู แบล็คเฮด’ ก่อนมะเร็งคร่าชีวิต
- เปิดประวัติ ‘นุ๊กซี่’ ก่อนมะเร็งพรากชีวิต