Lifestyle

เตือนระวังโรคฮิต เด็ก-ผู้ใหญ่ ที่มาช่วงฤดูหนาว

เตือนระวังโรคฮิต เด็ก-ผู้ใหญ่ ที่มาช่วงฤดูหนาว ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ไข้หัด เตรียมรับมืออย่างไรบ้าง เช็กเลย!

โรคที่มากับหน้าหนาว ที่มักเกิดกับเด็กๆ และผู่ใหญ่ ผู้สูงอายุ ที่ต้องเฝ้าระวัง มีทั้งแบบติดต่อและไม่ติดต่อ ซึ่งหนีไม่พ้นโรคยอดฮิตอย่าง ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด อีสุกอีใส อุจจาระร่วง เพราะอุณหภูมิความเย็นในอากาศ ถือเป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อชีวิตและการอยู่รอดของเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี ซึ่งโรคที่มักมากับหน้าหนาว มีอยู่ด้วยกัน 6 โรค คือ ไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่, ปอดบวม, ไข้หัด, อุจจาระร่วง และไข้สุกใส เราจึงควรศึกษาเรื่องของอาการ และการรักษาไว้เพื่อเป็นการป้องกัน ก่อนที่จะเกิดกับคนใกล้ชิด หรือแม้แต่ตัวเราเอง

ระวังโรคฮิต

โรคไข้หวัด

ไข้หวัดถือว่าเป็นโรคที่สามารถเป็นได้แทบจะทุกฤดูกาล แต่ในหน้าหนาวจะมีโอกาสเป็นได้ง่ายและบ่อยกว่าปกติถึง 2 เท่า และหากเราไม่ดูแลรักษาอาการให้ดีขึ้น ก็อาจจะทำให้โรคมีอาการรุนแรงได้ สำหรับไข้หวัดนั้น เกิดจากเชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดโรคในทางเดินหายใจ โดยเชื้อที่พบง่ายคือเชื้อ “ไรโนไวรัส” ที่มักจะเกิด อาการคัดจมูก, น้ำมูกไหล, ไอจาม, คันคอ เป็นอาการนำ ในขณะที่ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดศรีษะ และปวดเมื่อยตามตัว ตามมาได้

  • วิธีการรักษา

โรคนี้สามารถรักษาได้โดยการ พักผ่อนให้เพียงพอ , ดื่มน้ำให้มาก, เช็ดตัวทุกชั่วโมงเมื่อมีอาการตัวร้อน และรับประทานยารักษาตามอาการ แต่ถ้ามีไข้ขึ้นสูงติดต่อกันนาน ก็ให้รีบพาไปแพทย์ เพื่อดูอาการต่อไป

  • เราควรดูแลตัวเองอย่างไร

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, หลีกเลี่ยงสภาวะแวดล้อมที่มีแต่มลพิษ และหลีกเลี่ยงการไอจามใส่ผู้อื่น เพราะไข้หวัดสามารถติดได้ง่าย ทางการจามหรือไอใส่กัน ทางที่ดีเมื่อเป็นแล้ว ควรมีหน้ากากอนามัย เพื่อเป็นการป้องกันเมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ชุมชน , และพยายามเน้นรับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เพราะวิตามินซีจะช่วยในเรื่องของการระงับอาการไข้หวัดได้เป็นอย่างดี

โรคไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่อาการจะคล้าย ๆ กับไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีอาการที่รุนแรงกว่า และอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เชื้อต้นเหตุเป็น “อินฟลูเอ็นซาไวรัส” ทำให้มีอาการไข้ขึ้นสูง,หนาวสั่น, เจ็บคอ, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและศรีษะอย่างรุนแรง และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย

  • วิธีการรักษา

การรักษาจะคล้าย ๆ กับโรคไข้หวัด เมื่อเริ่มเป็น ควรดื่มน้ำให้มาก เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย, เช็ดตัวเมื่อมีไข้ขึ้น และรับประทานยารักษาตามอาการ แต่ถ้าไข้ขึ้นสูงเมื่อไหร่ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที

1127 3

  • เราควรดูแลตัวเองอย่างไร

สำหรับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เด็กเล็ก, หญิงตั้งครรภ์, คนชรา, และผู้ที่มีโรคประจำตัว เจ็บป่วยเรื้อรัง ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามโรงพยาบาล หรือสถานีอนามัยทั่วประเทศ รวมทั้งไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ, ผ้าเช็ดหน้า เช็ดตัว, ช้อน เป็นต้น ปิดปาก ปิดจมูกทุกครั้งที่ไอหรือจาม ควรใส่หน้ากากอนามัย ก่อนออกจากบ้านเมื่อเริ่มมีอาการ, ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่หรือเจลแอลกฮอลล์ และใช้ทิชชู่เปียกทำความสะอาดพื้นผิว/สิ่งของที่มีคนสัมผัสบ่อย ๆ

โรคปอดบวม

ปอดบวม คือภาวะปอดอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ เชื้อไวรัสที่มีมากเกินไป จนทำให้มีการอักเสบจนถึงเป็นหนองได้ในถุงลม เชื้อโรคมักจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย สามารถแพร่กระจายออกมาเวลาไอ จาม หรือการสำลักน้ำลาย เศษอาหาร และน้ำย่อย อาการเด่น ๆ คือ ไอ, จาม, มีเสมหะมาก, แน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก, หอบเหนื่อย แล้วเริ่มมีไข้สูง โรคปอดบวมอาจจะพบหลังจากการเป็นไข้หวัดเรื้อรัง หรือในคนที่โรคปอดเรื้อรัง พบบ่อยในฤดูหนาว โดยเฉพาะกับกลุ่ม คนชรา และเด็กเล็กอายุระหว่าง 5 – 10 ขวบ หรือต่ำกว่านั้น

  • วิธีรักษา

โรคนี้ค่อนข้างรุนแรง จึงต้องระมัดระวังในการรักษา หากไม่สบายต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ควรดื่มน้ำบ่อย ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และถ้าหากมีไข้ ตัวร้อนให้เช็ดตัวเรื่อย ๆ แล้วทานยาลดไข้เพื่อรักษาอาการ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายภายใน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าหากไม่ดีขึ้น มีอาการซึมลง, ไข้สูง, ทานอาหารและน้ำไม่ได้, ไอ หายใจเร็ว, หายใจมีเสียง ให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะนั่นคืออาการของโรคปอดบวมเริ่มแรก และในรายที่สงสัยว่าจะเป็นโรคปอดบวม ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอย่างทันที

  • เราควรดูแลตัวเองอย่างไร

เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มมีอาการไข้หวัด ให้รีบรักษา และพบแพทย์สม่ำเสมอ ดื่มน้ำอุ่น อยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก สำหรับเด็กเล็ก ให้รับการฉีดวัคซีนปอดบวม ที่โรงพยาบาล หรือสถานีอนามัยใกล้บ้าน หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด และหมั่นล้างมือทุกครั้ง เมื่อกลับเข้าบ้าน

ไข้หัด

หัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาการของโรคจะคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้ก่อนแล้วจึงมีน้ำมูก มักไอแห้งตลอดเวลา ตาและจมูกจะแดง ในเด็กจะมีไข้สูงประมาณ 3 – 4 วัน แล้วจึงขึ้นผื่นแดง ๆ ที่หลังหู ลามไปยังหน้า และร่างกาย ผื่นจะค่อย ๆ โตขึ้น และมีสีเข้มขึ้น ในผู้ป่วยบางรายจะพบว่ามีตุ่มใส ๆ ขึ้นในปาก ตรงกระพุ้งแก้มและฟันกรามบน ซึ่งจะเป็นตุ่มที่เกิดเฉพาะในโรค “หัด” เท่านั้น และจะขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชม. พอผื่นออกได้ประมาณ 2 – 3 วัน อาการก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ต้องระวัง คือ โรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม, อุจจาระร่วง, สมองอักเสบ, หรือหูชั้นกลางอักเสบ

โรคหัดมักติดต่อกันทางลมหายใจ ไอ จาม รดกัน ช่วงเวลาเสี่ยงโรคนี้คือ “ฤดูหนาว” โดยเฉพาะในเดือนมกราคม จะมียอดของผู้ที่ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี ในกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้คือ เด็กเล็ก และเด็กในวัยเรียน ช่วงอายุ 5 – 9 ขวบ

  • วิธีการรักษา

ทานยาลดไข้ รักษาตามอาการ พาไปพบแพทย์และไปตามนัดเสมอ เพื่อติดตามรักษาอาการได้อย่างต่อเนื่อ

  • เราควรดูแลตัวเองอย่างไร

หลีกเลี่ยงแหล่งที่มีเชื้อ ผู้คนพลุกพล่าน ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็น หมั่นล้างมือทุกครั้งเมื่อกลับเข้าบ้าน และฉีดวัคซีนรวม หัด หัดเยอรมัน และคางทูม ซึ่งเด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีนนี้อยู่แล้วเมื่ออายุ 9 -12 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 6 ขวบ

โรคอุจจาระร่วง

โรคอุจจาระร่วงส่วนใหญ่ในเด็กมักมีสาเหตุมาจาก “เชื้อโรต้าไวรัส” และมักพบในเด็ก อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ที่พบบ่อยที่สุดคือเด็กอายุ 6- 12 เดือน เพราะเด็กในวัยนี้ กำลังเป็นวัยเรียนรู้ และชอบที่จะหยิบของทุกสิ่งเข้าปาก โดยที่เชื้อตัวนี้ จะแฝงอยู่ในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก มักจะพบได้มากในช่วง เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ อาการของโรค คือเด็กจะ ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ร่วมกับมีอาการไข้และอาเจียนร่วมด้วย มักมีก้นแดง โดยปกติแล้ว อาการถ่ายเหลวจะหายภายใน 3 – 7 วัน แต่ก็ยังต้องดูแลใกล้ชิด และสังเกตลักษณะของอุจจาระด้วยว่ามีเลือด หรือมูกเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่ ถ้ามีปนออกมาแล้วมีอาการหวัดร่วมด้วยให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาต่อไป

  • วิธีการรักษา

หากเด็กถ่ายมากจนเสียน้ำ ให้จิบสารละลายเกลือแร่ น้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ไปทั้งวันเพื่อรักษาอาการขาดน้ำ สังเกตง่าย ๆ คือเด็กจะเริ่มปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะน้อย ให้จิบโดยทันที แต่ถ้าเด็กไม่สามารถทานเกลือแร่ได้ ต้องใช้เป็นการให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดแทน และอย่างดอาหาร เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกาย ขาดสารอาหารซ้ำเข้าไปอีก เพียงแต่เปลี่ยนอาหาร เน้นอาหารจำพวกแป้งและโปรตีน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเส้นใยสูง ส่วนเด็กที่ยังดื่มนมอยู่ ก็ให้ดื่มนมได้ตามปกติ

  • เราควรดูแลตัวเองอย่างไร

ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยภายในบ้าน ล้างมือทุกครั้งที่หยิบจับของสกปรก ทำความสะอาดสถานที่ ของเล่นของใช้บ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปสถานที่ที่แออัด และพาเด็กไปรับการหยอดวัคซีนที่โรงพยาบาล โดยจะหยอดวัคซีนในเด็กอายุ 2 – 4 เดือน แต่ราคาของวัคซีนค่อนข้างสูง คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องพิจารณาดูตามความเหมาะสม

ไข้สุกใส

เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ “วาริเซลลาไวรัส” ติดต่อได้โดยการสัมผัสตุ่มน้ำใสโดยตรง หรือการสัมผัสของใช้ เช่น แก้วน้ำ, ผ้าเช็ดหน้า เช็ดตัว, ผ้าห่ม, ที่นอน หรือสูดหายใจเอาละอองที่มีเชื้อเข้าไป พบได้บ่อยตั้งแต่อายุ 5 – 15 ปี  ในผู้ใหญ่จะพบได้น้อยกว่า มักจะเกิดกับผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้มาก่อน โรคสุกใสจะมาในช่วงปลายฤดูหนาว เดือนมกราคม – มีนาคม แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี อาการจะมีไข้ต่ำ ๆ , เบื่ออาหาร, ปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการจะคล้าย ๆ ไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน แต่จะมีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามมาทันที เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงก่อน แล้วก็จะกลายเป็นตุ่มน้ำใส ๆ และมีอาการคัน ต่อมาก็จะกลายเป็นหนอง ตุ่มจะขึ้นตามไรผม แล้วลุกลามไปยัง หน้า แขน ขา ลำตัว และแผ่นหลัง จะทยอยขึ้นจนหมดทั้งตัว ภายใน 4 วัน จากนั้นจะแห้งและตกสะเก็ดไปเองใน 5 – 10 วัน ส่วนอาการไข้ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น

  • วิธีรักษาอาการ

ให้รักษาตามอาการ เมื่อมีไข้ก็ให้รับประทานยาลดไข้ งดการใช้ของร่วมกับผู้อื่น ให้หยุดพักจนกว่าจะหายดี และห้ามไปแคะ แกะ เกา บริเวณตุ่ม เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบ เป็นแผลเป็นได้ โดยส่วนมากโรคนี้ ไม่ต้องไปพบแพทย์ เพราะจะมีอาการป่วยไม่นาน ไม่มีโรคแทรกซ้อนและจะหายไปเอง

ขอบคุณข้อมูล โรงพยาบาลพญาไท

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo