กกร. ห่วงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าทำเศรษฐกิจไทยหดตัวจากเดิม 3-3.5% เหลือ 1-2%ค่าแรง 450 บาทดันเงินเฟ้อพุ่ง 0.82%
นายผยง ศรีวณิช ประธาน คณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชน 3 สถาบัน กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. มองว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องจากการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าทั้งปีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 30 ล้านคน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการจ้างงาน และสร้างรายได้เข้าประเทศ
นอกจากนี้ รายได้ในภาคเกษตรและเกษตรอุตสาหกรรมยังขยายตัว ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังใช้จ่ายบริโภคเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวที่ล่าช้าของเศรษฐกิจโลก คาดว่าการส่งออกในปี 2566 หดตัว 1.0-00% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา GDP ขยายตัว 3-3.5% อัตราเงินเฟ้อ 2.7-3.2% โดยเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยท้าทาย หลัง กนง. ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เพิ่มเป็น 2% และมีแนวโน้มว่าจะยังปรับชั้นต่อไปด้วยเหตุว่าเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูง
“ปัญหาภัยแล้ง ที่ประชุม กกร. มองว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบสูง หลังจากทั่วโลกเผชิญกับปัญหาเอลนีโญในปีนี้ อาจสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ 36,000 ล้านบาท กกร. จึงทำหนังสือส่งถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 เสนอให้เร่งจัดทำมาตรการรับมือภัยแล้ง ทั้งในระยะเร่งด่วนและในระยะยาว มองว่าปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม เป็นตันทุนค่าเสียโอกาสของประเทศ” นายผยง กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยที่อาจกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ได้แก่ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นถึง 0.82% ถ้าไม่มีการเพิ่มทักษะแรงงานและผลิตภาพแรงงานให้เหมาะสมไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยน ราคาน้ำมันดีเซลอาจเพิ่มสูงขึ้น หากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท สิ้นสุดลงในวันที่ 20 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นทุนค่าขนส่งของผู้ประกอบการ ปัจจัยเหล่านี้จะกดดัน ต้นทุนของทั้งผู้ประกอบการและครัวเรือน
นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจซ้ำเติมตันทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ตังนั้นมองว่าการปรับชั้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จะต้องรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่ทั่วถึง เพื่อช่วยพยุงให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. ยังคงมองว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลัก ที่ช่วยชับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในขณะนี้ การดูแลนักท่องเที่ยวให้มีความสะดวก ปลอดภัย จะเป็นแรงจูงใจดึงดูดให้ต่างชาติเลือกเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้น ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนเพื่สร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปัญหาคอขวดเรื่องการเพิ่มจำนวนเครื่องบินให้กับสายการบินของไทย ยังเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว ซึ่งหากสามารถแก้ไขปัญหาสายการบินให้เพียงพอ นอกจากนี้ยังต้องแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำตามพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยเฉพาะตามเกาะต่าง ๆ
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตหสการรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า คงอาศัยเครื่องจักรจากการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ จึงต้องอาศัยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ แม้จะมีข้อจำกัดบางประการในช่วงเป็นรัฐบาลรักษาการ ยังพอมีช่องทางกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อ เพราะขณะนี้ค่าครองชีพสูงกว่ารายได้ของแรงงาน ขอให้เข้มงวดกวดขันการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ กระทบยอดขายเอสเอ็มอี 19 กลุ่ม ขณะนี้ผู้ประกอบการทำการผลิตสินค้าเพื่อยังชีพดูแลแรงงาน ต้องหาทางเพิ่มแหล่งทุนให้เอสเอ็มอี ในช่วงรอจัดตั้งรัฐบาลใหม่ช่วงเดือนสิงหาคม
“หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าออกไป มาตรการต่าง ๆ การดึงดูดการลงทุน จากต่างชาติอาจรอไม่ได้ ทำให้แผนที่คาดการณ์ไว้ หากเลื่อนไป 1-2 เดือนอาจรอได้ หากเลื่อนออกไปครึ่งปี หรือ 1 ปี นักลงทุนต่างชาติ คงหนีไปลงทุนประเทศอื่นแทน และอาจทำให้จีดีพีคาดการณ์เดิม 3-3.5% เหลือ 1-2%
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘พิธา’ นั่งหัวโต๊ะคุย 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลสัญจร จ่อถกไทม์ไลน์จัดตั้งรัฐบาล
- กกร.เตรียมยื่น 6 ข้อเสนอต่อพรรคการเมือง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-แก้ปัญหาประเทศ
- กกร. คงกรอบเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 3.0-3.5% ท่องเที่ยวหนุน-ส่งออกหดตัว