กระทรวงแรงงาน เปิดรับฟังความเห็น เพิ่มจ่ายเงินสมทบ “ประกันสังคม” จาก 750 บาท เป็นสูงสุด 1,150 บาท แสดงความเห็นผ่านเว็บไซต์ระบบกลางกฎหมายได้ถึง 28 กุมภาพันธ์นี้
กระทรวงแรงงานเปิดรับฟังความคิดเห็น กรณีผู้ประกันตนประกันสังคม มาตรา 33 เรื่อง กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ และขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. … ตั้งแต่วันนี้ถึง 28 กุมภาพันธ์นี้ ผ่าน เว็บไซต์ระบบกลางกฎหมาย โดยสาระสำคัญระบุว่า
กฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ได้กำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 ไว้ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2538 จนถึงปัจจุบัน
จึงสมควรปรับปรุงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเป็นไปตามมาตรฐานเพดานค่าจ้าง ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ เพื่อความเพียงพอของสิทธิประโยชน์ที่เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้
เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับกองทุนรองรับรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น เพื่อการกระจายรายได้จากผู้มีรายได้มากไปสู่ผู้มีรายได้น้อยภายในระบบประกันสังคม และเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบประกันสังคม
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้ประกันตน
จะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น เนื่องจากฐานที่ใช้ในการคำนวณเพื่อรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวจะคำนวณจากค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนี้
1. เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีเจ็บป่วย 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
2. เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ 70% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
3. เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
4. เงินสงเคราะห์กรณีตาย 50% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
5. เงินทดแทนการขาดรายได้ในกรณีว่างงาน 50% หรือ 30% ของค่าจ้างที่นำส่งเข้ากองทุน
6. เงินบำนาญชราภาพ ไม่ต่ำกว่า 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่นำส่งเข้ากองทุน โดยผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบ 15 ปี จะได้รับบำนาญ 20% ของค่าจ้าง ส่วนผู้ประกันตนที่ส่งเงินสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับบำนาญเพิ่มอีก 1.5% ทุกการส่งเงินสมทบครบ 12 เดือน
สำหรับเงินบำเหน็จชราภาพจะได้รับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เนื่องจากมีการนำส่งเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเพิ่มขึ้น จากการปรับฐานที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบ
ตัวอย่างผลต่อผู้ประกันตน มาตรา 33
ในปี 2567 ผู้ประกันตนที่ได้รับค่าจ้างมากกว่า 17,500 บาท จะส่งเงินสมทบเดือนละ 875 บาท (เดิม 750 บาท) และจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น เช่น เงินทดแทนขาดรายได้กรณีว่างงานเพิ่มเป็นเดือนละ 8,750 บาท (เดิม 7,500 บาท) เป็นต้น
ร่างกฎกระทรวงได้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูง ที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. …. มีการปรับฐานค่าจ้างขั้นสูงสุดจาก 15,000 บาท อย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังนี้
- ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 17,500 บาท
- ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2570 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2572 จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 20,000 บาท
- ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2573 เป็นต้นไป จำนวนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกิน 23,000 บาท
หากกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ เงินสมทบประกันสังคมของผู้ประกันตนมาตรา 33 จะต้องมีการปรับเพิ่มขึ้นตามปี ตั้งแต่ปี 2567 โดยจำนวนเงินสมทบจะเพิ่มขึ้นผกผันตามเพดานค่าจ้างขั้นสูง
- ปี 2567 – 2569 ผู้ประกันตน ม.33 ที่เงินเดือนมากกว่า 17,500 บาท จะจ่ายเงินประกันสังคมสูงสุดที่ 875 บาท
- ปี 2570 – 2575 ผู้ประกันตน ม.33 ที่เงินเดือนมากกว่า 20,000 บาท จะจ่ายเงินประกันสังคมสูงสุดที่ 1,000 บาท
- ตั้งแต่ปี 2573 ผู้ประกันตน ม.33 ที่เงินเดือนมากกว่า 23,000 บาท จะจ่ายเงินประกันสังคมสูงสุดที่ 1,150 บาท
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ประกันสังคมเตือน! นายจ้าง แจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้าง-ลาออก ภายในเวลาที่กม.กำหนด เลี่ยงความผิด
- ประกันสังคม ขยายเวลา ‘การนำส่งเงินสมทบ’ เข้ากองทุน ผ่าน e–payment เปิดตารางวันสิ้นสุดการชำระ คลิก!!
- ‘รมว.สุชาติ’ มอบนโยบาย ‘ปsะกันสังคม’ มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตน