Economics

‘IRPC’ คาดปี 66 ธุรกิจดีขึ้น เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์พิเศษ ขยายเครือข่ายโลจิสติกส์ มุ่งสู่ Net Zero

IRPC เตรียมพร้อมรับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ระมัดระวังความผันผวนของราคาพลังงานเพิ่มขึ้น เดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโตจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจ เพิ่มความคล่องตัวในโครงสร้างองค์กร ขยายสัดส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษมูลค่าสูง และเครือข่ายโลจิสติกส์ คาดการณ์ปี 66 ภาพรวมธุรกิจปรับตัวดีขึ้นทั้งธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี

นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่าปี 2565 นับเป็นปีที่ท้าทายอย่างมาก จากสถานการณ์ผันผวนภายนอกหลากหลายด้านพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นความยืดเยื้อของความขัดแย้ง และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ

IRPC

นโยบาย Zero-Covid ในประเทศจีน อัตราเงินเฟ้อทั่วโลก วิกฤติพลังงาน ส่งผลให้ราคาพลังงาน และวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต และธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก รวมถึงส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลงอย่างมาก

ปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ จำนวน 318,396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 จากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 43% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมากที่เฉลี่ย 96.34 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปี 2564 ราคาเฉลี่ยที่ 69.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ขณะที่ปริมาณขายลดลง 8% โดยมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 175,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 9% จากการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่นตามแผน (Major Turnaround) ในไตรมาส 4/2565 ประมาณ 1 เดือน ประกอบกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวลดลงและต้นทุน Crude Premium สูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตราคาตลาด (Market GIM) จำนวน 23,761 ล้านบาท ลดลง 20%

อย่างไรก็ดี ความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบช่วงปลายปี ส่งผลให้บริษัทบันทึก Net Inventory Loss รวม 6,348 ล้านบาท หรือ 2.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับปีก่อนที่มี Net Inventory Gain 11,104 ล้านบาท หรือ 4.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทำให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 17,413 ล้านบาท หรือ 7.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 23,279 ล้านบาท หรือ 10.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 3,987 ล้านบาท ลดลง 22,974 ล้านบาท หรือลดลง 85% และผลประกอบการปี 2565 บริษัทขาดทุนสุทธิ จำนวน 4,364 ล้านบาท

IRPC

นายกฤษณ์ กล่าวด้วยว่า ผลดำเนินงานช่วงไตรมาส 4/2565 นั้น บริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ 55,081 ล้านบาท ลดลง 32,231 ล้านบาท หรือ 37% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/ 2565 เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยลดลง 6% และปริมาณขายลดลง 31% ผลจากอัตราการผลิตลดลง จากการปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่น

โดยราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 2,609 ล้านบาท (6.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) ลดลง 42% และบันทึก Net Inventory Loss รวม 6,816 ล้านบาท หรือ 17.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุน EBITDA จำนวน 7,836 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 7,149 ล้านบาท

ปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น ด้วยแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งจากภายใน โดยการพัฒนา และต่อยอดธุรกิจจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจ เพิ่มความคล่องตัวของโครงสร้างองค์กร

บริษัทประสบความสำเร็จ จากการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษมูลค่าสูง (Specialty Product) 22% การเปิดโรงงาน บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด ผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven fabric) วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์

นอกจากนี้ ยังขยายกำลังการผลิต อีก 4 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายการลงทุนโครงการพีพี เมลต์โบลน (PP Meltblown) 40,000 ตันต่อปี ที่มีกำลังผลิตสูงสุดในประเทศ และโครงการผลิตเม็ดพลาสติก พีพี สปันบอนด์ (PP Spunbond) 190,000 ตันต่อปี เพื่อผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขอนามัย

โครงการผลิตเม็ดพลาสติก พีพีอาร์ (PPR: PP Random Copolymer Pipe) 80,000 ตันต่อปี เพื่อผลิตท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ที่ไร้สารทาเลตเป็นรายแรกของภูมิภาค และโครงการผลิต เอชดีพีอี 100-อาร์ซี (HDPE100-RC) 40,000 ตันต่อปี เพื่อผลิตท่ออุตสาหกรรมที่มีอายุการใช้งานได้นานถึง 100 ปี ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาในการก่อสร้าง

IRPC

ทั้งยังได้ร่วมมือกับ บริษัท พี.ซี สยามปิโตรเลียม จำกัด เปิดคลังน้ำมันจังหวัดสุราษฏร์ธานี ขนาด 50 ล้านลิตร พร้อมรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจภาคใต้ รวมทั้งความสำเร็จในการซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่นในรอบ 5 ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น และคุณภาพน้ำมันดีเซล ยูโร 5 (Ultra Clean Fuel Project หรือ UCF) ที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในต้นปีหน้า

นายกฤษณ์ ระบุว่า อุตสาหกรรมยังต้องปรับตัว เตรียมพร้อมกับข้อจำกัดทางการค้าในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลง 20% ภายในปี 2573 จากปีฐาน 2561 และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2603

สำหรับแนวโน้มธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ปี 2566 นั้น คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลก จะสูงขึ้นเท่ากับช่วงก่อนการระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบส่วนใหญ่ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตในสหรัฐ

ขณะที่ผู้ผลิตกลุ่มโอเปค และพันธมิตร มีนโยบายปรับลดการผลิตลงเดือนละ 2 ล้านบาร์เรลต่อวันไปถึงสิ้นปี 2566 เพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ในปี 2566 คาดว่าความต้องการของตลาดจะเติบโต 1.5-2.0% โดยเฉพาะความต้องการจากจีนตามนโยบายเปิดประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการลงทุนจากภาครัฐ และส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

09.1 1 1776x1184 1

จากผลการดำเนินงาน และการดำเนินกลยุทธ์ภายใต้กรอบความยั่งยืนที่มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ บริษัทได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ติดต่อกันเป็นปีที่ 9 รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษเป็น 55% ในปี 2573 ตามทิศทางวิสัยทัศน์ของบริษัท เพื่อขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณค่าสู่สังคมให้ก้าวไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินประมาณ 1,430 ล้านบาท โดยจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 5 เมษายน 2566 ต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo