สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ จี้ “แบงก์ชาติ” ชะลอปรับขึ้นดอกเบี้ย หวั่นฉุดส่งออก ซ้ำเติมผู้ประกอบการ พร้อมรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทในระดับ 34-35 บาท/ดอลลาร์
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธาน สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) แจ้งว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการ สรท. ได้ประเมินปัญหาการดำเนินธุรกิจจากสมาชิกซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ผลิตเพื่อส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตรและกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนสูง อาทิ กลุ่มสินค้าผักและผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง กระป๋องและแปรรูป ซึ่งสามารถส่งออกเติบโตในปี 2564 ซึ่งค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่มูลค่าส่งออกกลับมาหดตัวในไตรมาส 3-4 ของปี 2565 และต่อเนื่องไตรมาส 1 ปี 2566
ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่า
ทั้งนี้ เมื่อค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่า โดยการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลต่อการกำหนดราคาและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยเมื่อเปรียบเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งในประเทศที่ค่าเงินอ่อนกว่าไทย ทั้งการทำสัญญาซื้อขายในปัจจุบันและตลอดปี 2566
ดังนั้น หากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท จะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนสูงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการ สรท. จึงได้พิจารณาข้อเสนอแนะแนวทางบรรเทาปัญหาและช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกไทยและนำเรียนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
เรียนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
1. ขอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณา “ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ออกไป เนื่องจาก
- จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ประกอบการทั้งซัพพลายเชน
- เป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น วัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า ค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
2. ขอให้ ธปท. ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทในระดับ 34-35 บาท/ดอลลาร์ หรือไม่แข็งค่าไปกว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ
3. ขอให้ ธปท. กำหนดมาตรการและเครื่องมือในการตรวจสอบ ติดตาม กระแสเงินไหลเข้าประเทศอย่างรวดเร็ว รวมถึงขอความร่วมมือไปยังสถาบันการเงินให้ติดตามข้อมูลการโอนเงินบาทระหว่างบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ(Non-resident Baht Account) จากสัญญาณของธุรกรรมการเงินต่างประเทศที่เริ่มมีความหนาแน่นกว่าปกติ
4. ขอให้ ธปท. และธนาคารพาณิชย์ พิจารณาอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการเลือกใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) อาทิ
- จัดสรรหรือขยายวงเงินสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้กับผู้ประกอบการ ทั้งในรูปแบบของ Forward และ Option ให้เพียงพอต่อความต้องการในช่วงที่ค่าเงินบาทมีความผันผวน
- ขยายระยะเวลาในการทำประกันความเสี่ยง ทั้งในรูปแบบของ Forward และ Option ให้เหมาะสม
- ออกแคมเปญช่วยเหลือและดึงดูดให้ผู้ประกอบการเข้ามาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง อาทิ โครงการบริหารความเสี่ยง FX (Option ประกันค่าเงิน) สำหรับ SMEs เป็นต้น
5. ขอให้ ธปท. ร่วมกับ สรท. จัดกิจกรรมให้ความรู้ในทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการและเครื่องมือทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาท โดยสรท.พร้อมร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้สามารถดำเนินการตามข้อเสนอแนะข้างต้น เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกและนำพาให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงได้ต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- พาณิชย์ ชี้ สัญญาญบวก ‘ส่งออกไทย’ หลังจีนเปิดประเทศ
- ส่งออกระทึก! ‘หอการค้าไทย’ ประเมินส่งออกปี 66 โต 1% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี
- เศรษฐกิจโลกชะลอ! ฉุดส่งออกไทยเดือน พ.ย. ติดลบเป็นเดือนที่ 2