สภาอุตฯ เผยผลสำรวจ FTI Poll พบเอกชนห่วง ‘เงินเฟ้อ’ ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุน กดดันกำลังซื้อ ขอรัฐเร่งแก้ไข พร้อมตรึงดีเซล 32 บาท อีก 3-6 เดือน
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจ FTI Poll เดือนพฤษภาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “เงินเฟ้อกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร” พบว่า
ผู้บริหาร ส.อ.ท. ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น จากผลกระทบของวิกฤติความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และปัญหา Supply chain disruption เป็นปัจจัยหลักที่เร่งให้ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลให้ผู้ประกอบการ ต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งจากราคาวัตถุดิบและพลังงาน รวมทั้งยังกดดันกำลังซื้อภาคครัวเรือนให้ลดลงอีกด้วย
ห่วงเงินเฟ้อ คาดปีนี้อยู่ที่ 4-5% เสนอรัฐเร่งแก้ไข พร้อมตรึงราคาดีเซลต่อ
โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดว่า ตลอดทั้งปี 2565 อัตราเงินเฟ้อของไทยจะอยู่ที่ระดับ 4-5% จึงเสนอขอให้ภาครัฐ เร่งพิจารณาออกมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งปรับลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อภาคการผลิต เช่น วัตถุดิบอาหารสัตว์ ปุ๋ย เป็นต้น และตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ที่ 32 บาท/ลิตร ต่อเนื่องไปอีก 3-6 เดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการและประชาชน
นอกจากนี้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทวีความรุนแรงมากขึ้น และเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย จากยุโรปและสหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ให้ปรับตัวสูงขึ้นอีก จนทำให้เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยง ที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ Recession ได้
ผลสำรวจ จำนวน 6 คำถาม
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 200 คน ครอบคลุมผู้บริหาร 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
ปัจจัยใดเร่งให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
อันดับที่ 1 : ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น 86.50%
อันดับที่ 2 : ภาวะสงครามจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน 77.00%
อันดับที่ 3 : ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จากปัญหา Supply chain disruption 69.50%
อันดับที่ 4 : ความต้องการสินค้าและบริการที่มีมากเกินไปหลังการเปิดประเทศ 13.50%
ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ ผลกระทบในเรื่องใดส่งผลต่อเศรษฐกิจและประชาชนในวงกว้าง
อันดับที่ 1 : การแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จนส่งผลต่อภาวะราคาสินค้าแพง 88.50%
อันดับที่ 2 : ภาระหนี้สินภาคครัวเรือน และการขาดสภาพคล่องของผู้ประกอบการ 64.00%
อันดับที่ 3 : กำลังซื้อภาคครัวเรือนที่ลดลง 57.00%
อันดับที่ 4 : ผู้ประกอบการมีความระมัดระวังในการลงทุน และจำกัดการจ้างงาน 30.50%
คาดการณ์เงินเฟ้อตลอดทั้งปี 2565 จะอยู่ในระดับใด
อันดับที่ 1 : ผู้บริหาร ส.อ.ท. 50.00% ตอบว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4-5%
อันดับที่ 2 : ผู้บริหาร ส.อ.ท. 43.00% ตอบว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 6-8%
อันดับที่ 3 : ผู้บริหาร ส.อ.ท. 7.00% ตอบว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1-3%
ภาคอุตสาหกรรมจะปรับตัวอย่างไร ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ปรับต้วสูงขึ้นต่อเนื่อง
อันดับที่ 1 : 74.50% ตอบว่า ต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน และบำรุงรักษาเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพ
อันดับที่ 2 : 62.00% ตอบว่า นำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาช่วยในการดำเนินธุรกิจ
อันดับที่ 3 : 54.00% ตอบว่า เน้นการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ
อันดับที่ 4 : 50.50% ตอบว่า ต้องหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นทางเลือก
ภาครัฐควรมีมาตรการอย่างไร ในการเร่งดำเนินการแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
อันดับที่ 1 : 59.50% ตอบว่า มาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการ SMEs
อันดับที่ 2 : 58.50% ตอบว่า ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อภาคการผลิต
อันดับที่ 3 : 58.00% ตอบว่า ตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ที่ 32 บาท/ลิตร ต่อเนื่องไปอีก 3-6 เดือน
อันดับที่ 4 : 53.00% ตอบว่า ควบคุมและดูแลราคาสินค้าไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาเกินจริง สำหรับธุรกิจ Start up ให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น
ปี 2565 จะมีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) หรือไม่
อันดับที่ 1 : เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเกิดภาวะถดถอย 76.00%
อันดับที่ 2 : เศรษฐกิจโลกยังมีเสถียรภาพและสามารถขยายตัวได้ 24.00%
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- นายกฯ ไทย-ญี่ปุ่น หารือทวิภาคี สานต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว และความร่วมมือในภูมิภาค
- นายกฯ กล่าวปาฐกถา ย้ำ เอเชียต้องยืดหยุ่น เพื่อปรับตัว สนับสนุนความยั่งยืน
- ‘สุพัฒนพงษ์’ เตรียมหารือทีมเศรษฐกิจ ถก ‘มาตรการช่วยเหลือประชาชน’ รับมือน้ำมันแพง