เช็คที่นี่ อัตราใหม่ ค่าส่งจดหมาย พัสดุ ไปรษณีย์ไทย หลังครม.อนุมัติปรับราคาค่าบริการ 2 ระยะ
เมื่อวานนี้ (26 เมษายน 2565) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราไปรษณียากรและค่าธรรมเนียมอื่น พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ดศ. เสนอว่า โดยที่กฎกระทรวงกำหนดอัตราไปรษณียากรและค่าธรรมเนียมอื่นตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 พ.ศ. 2547 และกฎกระทรวงกำหนดอัตราไปรษณียากรสำหรับไปรษณียภัณฑ์ภายในประเทศที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด พ.ศ. 2549 มีผลใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
ขณะที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ไม่ได้ขอปรับอัตราราคาค่าบริการไปรษณีย์พื้นฐานในประเทศ ท่ามกลางต้นทุนเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ จากผลการศึกษาโครงการปรับปรุงอัตราค่าบริการไปรษณียากรของจดหมายและไปรษณียบัตรในประเทศของ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่าในปี 2562 อัตราค่าบริการจดหมายในประเทศที่ควรจะเป็นคือ 4.13 บาทต่อฉบับ
ที่ผ่านมา ปณท ให้บริการไปรษณีย์พื้นฐานในประเทศในอัตราเริ่มต้นที่ 3 บาท มีผลให้ ปณท มีต้นทุนของบริการพื้นฐานในประเทศเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลปี 2554 – 2563 เป็นจำนวนสูงถึง 18,380 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1,838 ล้านบาท
ประกอบกับ ปณท ต้องปรับมาตรฐานการฝากส่งให้เป็นไปตามสหภาพสากลไปรษณีย์ (The Universal Postal Union : UPU) จากมาตรฐานการฝากส่งรูปแบบเดียว เป็นมาตรฐานการฝากส่ง 2 รูปแบบ คือ ประเภทหีบห่อ (กล่อง) และประเภทซอง
ดศ. พิจารณาแล้วเห็นว่า ปณท ได้ใช้อัตราค่าบริการไปรษณีย์พื้นฐานเดิมมาเป็นเวลานาน กิจการไปรษณีย์ในปัจจุบันมีแนวโน้มประสบปัญหาขาดทุน เห็นควรปรับอัตราไปรษณียากรสำหรับบริการไปรษณียภัณฑ์ในประเทศใหม่
ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ดศ. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราไปรษณียากรและค่าธรรมเนียมอื่น พ.ศ. …. ขึ้น ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
การปรับค่าส่งจดหมาย พัสดุ ไปรษณีย์ไทย จะทำให้กิจการไปรษณีย์ของ ปณท มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอสำหรับการให้บริการพื้นฐานแก่ประชาชนทั่วไปได้ เพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาบริการ เพื่อยกระดับมาตรฐานให้อยู่ระดับสากลตามมาตรฐานของ UPU
นอกจากนี้ ปณท ยืนยันว่า การปรับอัตราไปรษณียากรในระยะ 3 ปีแรก จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคประชาชน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มาใช้บริการฝากส่งอยู่ในช่วงพิกัดน้ำหนัก 0 – 10 กรัม ซึ่งมีอัตราไปรษณียากร 3 บาท เท่าเดิม
ส่วนที่ปรับขึ้นใน 3 ปีแรก เป็นการปรับอัตราไปรษณียากรเฉพาะบริการประเภทจดหมาย ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจสำหรับกลุ่มการเงิน กลุ่ม e-Commerce และกลุ่มขนส่งและสื่อสาร
สรุปการปรับค่าบริการส่งจดหมาย พัสดุ ไปรษณีย์ไทย
1. จดหมาย จำแนกออกเป็น 2 ประเภท มีการจัดอัตราค่าบริการแบ่งเป็น 2 ระยะคือ
1.1 จดหมาย ประเภทซอง
ระยะแรก (พ.ศ. 2565 – 2567)
- จดหมาย ประเภทซอง ยังคงอัตราค่าบริการพิกัดน้ำหนักแรกไว้ที่ 3 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม
- จดหมาย ประเภทหีบห่อ มีอัตราค่าบริการในพิกัดน้ำหนักแรก 30 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม และมีอัตราค่าบริการสูงสุด 55 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักเกิน 1,000 กรัม แต่ไม่เกิน 2,000 กรัม
ระยะที่สอง ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
- จดหมายประเภทซอง จะปรับอัตโนมัติโดยมีอัตราค่าบริการในพิกัดน้ำหนักแรก 4 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักไม่เกิน 10 กรัม และมีอัตราค่าบริการสูงสุด 62 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักเกิน 1,000 กรัม แต่ไม่เกิน 2,000 กรัม
1.2 จดหมายประเภทหีบห่อ
- จะปรับอัตโนมัติโดยมีอัตราค่าบริการในพิกัดน้ำหนักแรก 34 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักไม่เกิน 500 กรัม และมีอัตราค่าบริการสูงสุด 62 บาท สำหรับพิกัดน้ำหนักเกิน 1,000 กรัม แต่ไม่เกิน 2,000 กรัม
2. ไปรษณียบัตร ของตีพิมพ์ และพัสดุไปรษณีย์
ไม่เปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการในระยะแรก (ปี 2565 – 2567) เป็นระยะเวลา 3 ปี และระยะที่สองจะปรับอัตโนมัติตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป
3. กำหนดอัตราไปรษณียากรพิเศษ สำหรับไปรษณียภัณฑ์ภายในประเทศที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยมีส่วนลดสูงสุดไม่เกิน 44% จากอัตราที่ขอปรับขึ้นใหม่
ทั้งนี้ ได้กำหนดเงื่อนไขในการใช้บริการ เช่น ฝากส่งเป็นประจำต่อเนื่อง ฝากส่งต่อเดือนตั้งแต่ 500,000 ฉบับต่อเดือนขึ้นไป มีการคัดแยกเพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อในระบบงานไปรษณีย์ ฝากส่งและนำจ่ายในเขตพื้นที่เดียวกัน เป็นต้น
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘เอสซีบี อบาคัส’ จับมือ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ปล่อยสินเชื่อตั้งหลัก ผ่านแอป ‘เงินทันเด้อ’
- ไปรษณีย์ไทย ขึ้นค่าส่งจดหมายในประเทศ ครั้งแรกในรอบ 17 ปี
- กอช.จับมือไปรษณีย์ไทย เปิดช่องส่งเงินออม กว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ