รู้จักเทคนิคเล่นหุ้นแบบ ‘Value Averaging’ เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้นปี เป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนราคาหุ้น ควบคู่ไปกับมูลค่าพอร์ตลงทุน โดยจะเน้นผลลัพธ์ผลลัพธ์ที่มูลค่าพอร์ตลงทุนเป็นหลัก
การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูง แต่ขณะเดียวกันก็มีโอกาสขาดทุนได้มากเช่นกัน ตามหลัก “high risk high return” ซึ่งตามสถิติแล้วพบว่า นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นกว่า 80% มักเทรดแพ้ตลาด นั่นก็เพราะว่า “หุ้น” เป็นการลงทุนที่มีความซับซ้อน ต้องอาศัยความรู้และข้อมูลจำนวนมาก นอกจากนี้ยังต้องจับจังหวะลงทุนให้เป็นอีกด้วย เพราะตลาดมีความผันผวนขึ้นๆ ลงๆ หากพลาดไปแม้แต่นาทีเดียว ก็อาจพลาด “ตกรถ” หรือ “ติดดอย” เอาได้ง่ายๆ
กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) จึงเป็นทางออกของมือใหม่หลายคนที่ไม่มีเวลา หรือจับจังหวะลงทุนไม่เก่ง เพราะเป็นวิธีซื้อหุ้นแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนราคาด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในทุกๆ งวด โดยกำหนดความถี่ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน และระยะเวลาที่ต้องการลงทุนว่า กี่เดือน กี่ปี อีกทั้งเราจะไม่สนว่าแต่ละวันราคาหุ้นเป็นเท่าไหร่
ยกตัวอย่างเช่น กำหนดว่าจะซื้อหุ้น PTT ทุกวันที่ 5 ของเดือน ด้วยจำนวนเงิน 10,000 บาท ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 10 ปี
ข้อดีของการทำ DCA คือ จะทำให้ได้ “ราคาหุ้นแบบถัวเฉลี่ย” แม้ว่าจะไม่ได้กำไรสูงสุด แต่ก็ไม่มีทางขาดทุนแบบกู่ไม่กลับ จึงช่วยลดความเสี่ยงเรื่องจับจังหวะลงทุนผิดพลาด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนมากๆ ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ทำให้การลงทุนแบบ DCA เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน และมีบริการออมหุ้นอัตโนมัติจากหลากหลายโบรกเกอร์ออกมาตอบโจทย์การลงทุนรูปแบบนี้ ทว่าถือโอกาสดีเริ่มต้นปีใหม่แบบนี้ เราเลยมีอีกหนึ่งกลยุทธ์ลงทุน ที่มีหลักการคล้ายคลึงกับ DCA แต่เป็นเทคนิคแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาให้มีโอกาสทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ นั่นคือวิธีการลงทุนแบบ Value Averaging หรือ VA สำหรับใครที่ยังไม่เคยได้ยินวิธีนี้มาก่อน ลองมาดูกัน
การลงทุนแบบ Value Averaging หรือ VA คืออะไร ?
เทคนิค VA หรือ Value Averaging คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนราคาหุ้น ควบคู่ไปกับมูลค่าพอร์ตลงทุน โดยจะเน้นผลลัพธ์ผลลัพธ์ที่มูลค่าพอร์ตลงทุนเป็นหลัก ซึ่งเป็นวิธีที่ต่อยอดมาจากการทำ DCA อีกที
วิธีการก็คือเราจะนำเงินลงทุนต่อเดือนมาหารด้วยจำนวนวันซื้อขายของเดือนนั้นๆ เพื่อคำนวณหาเป้าหมายว่ามูลค่าพอร์ต จะต้องเพิ่มขึ้นวันละเท่าไหร่ จากนั้นในแต่ละวันค่อยเข้าซื้อหลักทรัพย์เพื่อให้มูลค่าพอร์ตเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ตัวอย่างการซื้อหุ้นแบบ Value Averaging หรือ VA
หากเราต้องการลงทุนในหุ้น PTT เดือนละ 10,000 บาท โดยถ้าในเดือนนั้นมีจำนวนวันซื้อขาย (Trading Day) 20 วัน ก็ให้นำจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน ÷ จำนวนวันซื้อขาย เพื่อคํานวณหามูลค่าพอร์ตเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นในแต่ละวันจะได้เป็น 10,000 ÷ 20 = 500 บาท ดังนั้นเราจะทยอยซื้อหุ้นให้ตามมูลค่าเป้าหมาย ดังนี้ วันที่ 1 มูลค่าพอร์ตเป้าหมาย เท่ากับ 500 บาท, วันที่ 2 มูลค่าพอร์ตเป้าหมาย เท่ากับ 1,000 บาท, วันที่ 2 มูลค่าพอร์ตเป้าหมาย เท่ากับ 1,500 บาท และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน วันละ 500 บาทจนครบเป้าหมาย 10,000 บาท
ทั้งนี้ กรณีที่ระหว่างเดือนมูลค่าหุ้นในพอร์ตปรับเพิ่มขึ้น จนทำให้มูลค่าพอร์ตปรับตัวสูงขึ้นจนถึงเป้าหมายที่กำหนดในวันนั้นแล้ว เราจะไม่ซื้อเพิ่ม โดยให้เก็บเงินสดส่วนนั้นไว้ซื้อหุ้นในอนาคตเมื่อราคาปรับตัวลดลง
แต่ถ้ากรณีที่ระหว่างเดือนมูลค่าหุ้นในพอร์ตปรับลดลง และต่ำกว่ามูลค่าพอร์ตเป้าหมาย เราจะต้องเพิ่มเงินส่วนต่างลงไปในพอร์ตนั่นเอง เพื่อให้การลงทุนไม่หลุดจากเป้าหมายที่วางไว้ พูดง่ายๆ คือถ้าขาดก็เติม ถ้าเกินก็ถอนมาทำกำไรเพิ่มได้
ข้อดีของ Value Averaging หรือ VA
จะเห็นว่าการลงทุนแบบ VA ถือเป็นขั้นที่แอดวานซ์ขึ้นของการทำ DCA ก็ว่าได้ โดยมีข้อดีตรงที่มีความหยืดหยุ่นกว่า และสามารถทำกำไรระหว่างทางที่เป็นเป้าหมายระยะสั้น-ระยะกลางได้ แต่เป้าหมายระยะยาวก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่หลุดแผน อย่างไรก็ดี เทนนิคผู้ลงทุนอาจจะต้องให้เวลากับการลงทุนมากขึ้น เพราะต้องคอยคำนวณมูลค่าพอร์ตระหว่างวันอย่างใกล้ชิด
สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีการซื้อหุ้นแบบใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการลงทุนของตัวเองในปี 2564 ลองนำเทคนิค VA ไปประยุกต์ใช้ดูได้ สุดท้ายนี้ต้องบอกว่าไม่มีการลงทุนรูปแบบไหนที่ดีที่สุด มีการลงทุนที่เหมาะและไม่เหมาะเท่านั้นเอง เพราะแต่ละคนย่อมมีเป้าหมายและเงื่อนไขทางการเงินที่แตกต่างกัน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- วิเคราะห์หุ้นเด่น ธีมการลงทุนไหนดี ปี 2564
- 10 หุ้นเด่น ‘ราคาเติบโตแรงสุด’ รอบปี 2563
- เปิด ‘ 10 หุ้นเสี่ยง’ ถูกแขวน SP นานสุด