Business

‘พาณิชย์’ ปลื้มผลสำรวจ ประชาชนพอใจ ‘ลดค่าครองชีพ-ดูแลสินค้าเกษตร’

“พาณิชย์” เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบพอใจผลงานการลดค่าครองชีพสูงสุด การดูแลราคาสินค้าเกษตร เตรียมลุยต่อ เพื่อดูแลเกษตรกร ประชาชน และผู้ประกอบการ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทุกอำเภอทั่วประเทศ เกี่ยวกับความพึงพอใจต่อนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ตามนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส

ลดค่าครองชีพ

สำหรับการจัดทำผลสำรวจในครั้งนี้ ได้จัดกลุ่มนโยบายและการดำเนินงานออกเป็น 10 ด้าน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ตอบแบบสอบถาม โดยภาพรวมพบว่า ผลงานของกระทรวงพาณิชย์ ที่ประชาชนมีความพึงพอใจปานกลาง-มาก 5 อันดับแรก คือ

  • นโยบายด้านการลดภาระค่าครองชีพประชาชน 83.57%
  • การดูแลราคาปริมาณสินค้าเกษตรและการตลาดแบบครบวงจร 81.2%
  • การปรับการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง 80.61%
  • การผลักดันและสร้างแต้มต่อด้วยข้อตกลงเขตการค้าเสรี FTA 80.3%
  • การบูรณาการการทำงานของพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการค้า 79.95%

ทั้งนี้ นโยบายที่ประชาชนมีความพึงพอใจสูงสุด 2 อันดับแรก จะเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว และเห็นผลเป็นรูปธรรมในระยะเวลาที่รวดเร็ว อาทิ การลดค่าครองชีพ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับผู้ประกอบการจัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดอย่างต่อเนื่อง และมาตรการดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร เช่น สินค้าข้าว ที่มีมาตรการรองรับปีการผลิต 2566/2567 เพื่อช่วยให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาเหมาะสม

ขณะที่นโยบายอื่น ๆ ที่ได้รับความพึงพอใจรองลงมา เป็นนโยบายที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนานมากกว่า อาทิ การผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี FTA หรือเป็นนโยบายที่มุ่งเน้นสนับสนุนประชาชนเฉพาะกลุ่ม อาทิ การบูรณาการการทำงานของพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ในต่างประเทศ ที่มุ่งส่งเสริมเกษตรกรและผู้ประกอบการ ในการส่งออกสินค้าท้องถิ่นไปต่างประเทศ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์

สำหรับการพิจารณาเป็นรายภาค พบว่า นโยบายการลดภาระค่าครองชีพประชาชน เป็นนโยบายที่ได้รับความพึงพอใจเป็นอันดับแรกในกลุ่มผู้ที่อาศัยอยู่ในภาคกลาง 88.82% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 83.98% และภาคเหนือ 83.36%

ส่วนผู้อาศัยในภาคใต้ มีความพึงพอใจเป็นอันดับแรกต่อนโยบายด้านการสร้างโอกาสทางการค้า สร้างความเข้มแข็งของธุรกิจ ด้วยซอฟต์พาวเวอร์ นวัตกรรม และการพัฒนามาตรฐาน SMEs 83.48% ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมและพัฒนาให้นกกรงหัวจุกเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของจังหวัดชายแดนใต้

ในส่วนของผู้ที่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีความพึงพอใจเป็นอันดับแรกต่อนโยบายด้านการปรับการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 85.59%

ในการพิจารณาเป็นรายอาชีพ พบว่า นโยบายด้านการลดภาระค่าครองชีพประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาชนเกือบทุกอาชีพมีความพึงพอใจเป็นอันดับแรก ทั้งพนักงานของรัฐ  87.63% ผู้ไม่ได้ทำงาน 86.54% ผู้ประกอบการ 85.61% พนักงานเอกชน 83.17% เกษตรกร 80.99% และอาชีพอิสระ 80.15% ขณะที่นักศึกษามีความพึงพอใจเป็นอันดับแรกต่อนโยบายด้านการผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี 87.68%

เป็นที่น่าสังเกตว่า การผลักดันข้อตกลงเขตการค้าเสรี FTA การปรับการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ และนโยบายการเร่งรัดการส่งออก เป็นนโยบายที่นักศึกษา มีความพึงพอใจสูงสุด 3 อันดับแรก ซึ่งอาจสะท้อนว่า คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจต่อการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการค้าของไทย ซึ่งเป็นนโยบายที่สร้างความเข้มแข็งและความมั่นคงทางการค้าในระยะยาว

ทางด้านการพิจารณาตามช่วงรายได้ พบว่า ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อเดือน จะมีความพึงพอใจต่อการลดภาระค่าครองชีพประชาชนเป็นอันดับแรก แบ่งเป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 1 หมื่นบาทต่อเดือน 82.27% ระหว่าง 1-3 หมื่นบาทต่อเดือน 83.5% และ 3-5 หมื่นบาทต่อเดือน 85.12% ส่วนผู้ที่มีรายได้มากกว่า 5 หมื่นบาทต่อเดือน มีความพึงพอใจเป็นอันดับแรกต่อนโยบายการปรับการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 88.17% และการลดค่าครองชีพเป็นอันดับสอง 86.27%

ทั้งนี้ ในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์ยังคงมุ่งมั่นและทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ การผสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการของไทยในตลาดโลก สร้างรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วน การเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี

ล่าสุดได้ลงนามความตกลงการค้าเสรีไทย-ศรีลังกา แล้วเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา รวมถึงการเจรจาระหว่างไทย-สหภาพยุโรป (EU) และไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนภาคการส่งออก ที่กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมแผนส่งเสริมรวมแล้วกว่า 400 กิจกรรม โดยให้ความสำคัญกับการรักษาตลาดเดิม เพิ่มตลาดใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้สามารถเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo