Business

อินโดนีเซีย แซงโค้งยึดแชมป์ตลาดส่งออกข้าวไทยในรอบ 10 เดือน

อินโดนีเซียมาแรง ขยับขึ้นเบอร์ 1 ตลาดส่งออกข้าวไทยในรอบ 10 เดือนปี 2566 ปริมาณสูงถึง 1 ล้านตันเศษ เหตุเจอภัยแล้งจากเอลนีโญ ขณะที่ภาพรวม 10 เดือนข้าวไทยส่งออกแล้วเฉียด 7 ล้านตัน

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)รายงานว่าในช่วง 10 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-ต.ค.) อินโดนีเซียได้กลายเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย มีปริมาณการส่งออกสูงถึง 1,057,537 ตัน มูลค่า 523.45 ล้านดอลลาร์ (18,035.56 ล้านบาท) มูลค่าการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 13.19% ของมูลค่าการส่งออกข้าวทั้งหมด โดยข้าวที่ส่งออกไปอินโดนีเซียส่วนใหญ่ คือ ข้าวขาว 5–10%

ตลาดส่งออกข้าวไทย

ทั้งนี้ มีสาเหตุหลักมาจากอินโดนีเซียกำลังประสบปัญหาขาดแคลนข้าว เนื่องจากภัยแล้งที่เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ รวมถึงฤดูมรสุมที่ล่าช้า ทำให้อินโดนีเซียปลูกข้าวได้น้อยลง

ในปี 2565 ไทยมีปริมาณการส่งออกข้าวไปยังอินโดนีเซีย 91,714 ตัน มูลค่า 42.24 ล้านดอลลาร์ (1,511.55 ล้านบาท) มูลค่าการส่งออกไปอินโดนีเซียคิดเป็นสัดส่วน 1.06% ของมูลค่าการส่งออกข้าวไทยทั้งหมด และอินโดนีเซียเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับที่ 20 ของไทย

นอกจากนี้ สนค. ยังได้ศึกษาข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ซึ่งรายงานว่า ผลผลิตข้าวอินโดนีเซียในฤดูฝนอาจลดลง เนื่องจากฤดูมรสุมล่าช้า โดยคาดการณ์ผลผลิตข้าวของอินโดนีเซีย ปี 2566/67 อยู่ที่ 33.5 ล้านตัน (ข้าวสีแล้ว) ลดลง 3% จากที่คาดการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2566

ขณะที่พื้นที่เก็บเกี่ยวข้าว อยู่ที่ 11.3 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 70.6 ล้านไร่) ลดลง 3% จากคาดการณ์เมื่อเดือน ตุลาคม 2566 ส่วนผลผลิตคาดว่าจะอยู่ที่ 4.67 ตันต่อเฮกตาร์ ลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์เมื่อเดือน ตุลาคม 2566

นภินทร ศรีสรรพางค์
นภินทร ศรีสรรพางค์

สำหรับการคาดการณ์ว่าพื้นที่ปลูกข้าวของอินโดนีเซียมีแนวโน้มลดลงในปี 2566/67 มีสาเหตุหลักมาจากความล่าช้าของฤดูมรสุมและปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดความแห้งแล้งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณเกาะชวา ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกหลัก รวมทั้งบางส่วนของเกาะสุมาตราตอนใต้ ในช่วงตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม ที่ปริมาณน้ำฝนสะสมมีแนวโน้มต่ำกว่าปกติ

ขณะเดียวกัน ฤดูฝนปี 2566 ก็มีความล่าช้าออกไป ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถเริ่มปลูกข้าวได้ตามช่วงเวลาที่เคยเป็น และทำให้เกษตรกรที่อยู่ในเขตปลูกข้าวพื้นที่ราบสูงที่ต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยลง เช่น ข้าวโพด เป็นต้น

ด้านภาพรวมตลาดส่งออกข้าวไทย ในช่วง 10 เดือนของปี 2566 มีปริมาณการส่งออกรวม 6,922,649 ตัน เพิ่มขึ้น 11.4% มูลค่า 3,967.31 ล้านดอลลาร์ (136,289.84 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 24.7

สำหรับตลาดส่งออกข้าวของไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. อินโดนีเซีย สัดส่วน 13.19% ของมูลค่าการส่งออกข้าวของไทย 2. สหรัฐ สัดส่วน 13.03% 3. แอฟริกาใต้ สัดส่วน 10.47% 4. อิรัก สัดส่วน 9.38% และ 5. จีน สัดส่วน 4.41% ตามลำดับ

shutterstock 1979656769

ปัจจุบันความต้องการข้าวจากประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง และการให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหาร ทำให้เกิดความพยายามในการนำเข้าเพื่อสำรองปริมาณข้าวให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ รวมทั้งการระงับการส่งออกข้าวของอินเดียและเมียนมา

ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสที่จะผลักดันและขยายตลาดส่งออกข้าวไทย ตลอดจนสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์ของข้าวไทยให้ผู้บริโภครายใหม่ ๆ ในต่างประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังต้องเร่งปรับปรุงและพัฒนาสายพันธุ์ข้าว เพิ่มความหลากหลาย เน้นให้มีผลผลิตต่อไร่สูง ต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืช เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับข้าวไทย และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น ข้าวพื้นนุ่ม

ขณะเดียวกัน เกษตรกรควรเตรียมความพร้อมหาแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการปลูกข้าวแบบใช้น้ำน้อย ทำนาแบบยั่งยืนที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งต้องติดตามมาตรการบริหารจัดการน้ำสำหรับการเพาะปลูก เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบจากภัยแล้งและปรากฏการณ์เอลนีโญให้ได้มากที่สุด

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo