Business

‘รสนา’ สวน ‘กิตติรัตน์’ สาเหตุเรียกเงินดิจิทัลเป็น ‘เงินเลว’ ระวัง white lie รอบ 2

“รสนา”โพสต์โต้ “กิตติรัตน์” เงินดิจิทัลเป็น เงินเลว เหตุเอาเงินดีจากประชาชนไปปนกับเงินเลวที่เสกจากในอากาศ เตือนจะเป็น white lie ครั้งที่ 2 

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร โพสต์เฟซบุ๊ก กรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี (เศรษฐา ทวีสิน) รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงบทความที่ตนเปรียบเงินดิจิทัลเป็น เงินเลว โดยระบุว่า

รสนา

คุณกิตติรัตน์ กล่าวว่า เงินดิจิทัลจะเป็นจุดเริ่มต้นของการหลุดพ้น กับดักแห่งความเขลา  นั้น จะเป็น white lie ครั้งที่2 ไหมคะ!?

ดิฉันขอขอบคุณคุณกิตติรัตน์ที่ให้เกียรติและกรุณาให้ความสำคัญต่อบทความ และมาตอบโต้บทความที่ดิฉันเปรียบเงินดิจิทัลเป็น เงินเลว โดยดิฉันต้องการแสดงความเห็นในประเด็นหลักที่ว่า

รัฐบาลจะเอาเงินดี ๆ จากประชาชน ไปปนกับเงินเลวที่เสกจากในอากาศ หรือจากกล่องมายากลหรือไม่ และจะก่อปัญหากับเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศ หรือไม่

และถามว่าโครงการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 โดยรัฐบาลต้องเสนอในกระบวนการงบประมาณต่อรัฐสภาหรือไม่ หรือจะหลีกเลี่ยงหาช่องลอดไปใช้พระราชกำหนดที่เป็นกฎหมายฝ่ายบริหารกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้หรือไม่ ฯลฯ

คุณกิตติรัตน์ยกคำว่า เงินเลว (Bad Money) เป็นคำที่ผู้บริหารการคลังของอังกฤษ คือ Sir Thomas Gresham ใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1558 (พ.ศ.2101) แต่ความหมาย เงินเลว  ของดิฉันน่าจะแตกต่างจากกฎของเกรแฮม Gresham’Law ที่ว่า เงินเลวขับเงินดี

ในกฎของเกรแฮม มุ่งหมายให้รัฐบาลเอาเหรียญโลหะที่ผสมโลหะมูลค่าต่ำ แต่มีมูลค่าซื้อสินค้าในมูลค่าเท่ากันกับเหรียญโลหะสูงแบบทองคำ หรือเงินตามมูลค่าสินค้า การผสมเหรียญโลหะราคาต่ำ แต่ใช้ได้ตามกฎหมายในมูลค่าเดียวกันนั้น เพื่อให้เงินเลวขับเงินดี เพราะประชาชนจะเลือกใช้เหรียญโลหะผสม แต่จะเก็บเหรียญทองคำ เหรียญเงินเอาไว้

รสนา 22106601
ภาพจากเฟซบุ๊ก รสนา โตสิตระกูล

เมื่อประชาชนยอมใช้เงินจากเหรียญโลหะผสมมากขึ้นในตลาดทำให้เงินหมุนเวียน ย่อมลดการใช้เหรียญจากโลหะดีๆเช่น ทองคำ ได้ด้วย และรัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องเอาโลหะมีค่ามาทำเหรียญกษาปณ์เพื่อมาหมุนเวียนในตลาด

แต่ในกรณีเงินดิจิทัล ที่ดิฉันเรียกว่าเป็น เงินเลว นั้น เพราะเป็นคูปอง หรือเงินในอากาศ ที่ต้องเอาเงินบาทที่มีมูลค่าใช้ได้ตามกฎหมาย 5.6 แสนล้านบาท ไปหนุนหลังเงินเลว ที่ใช้ได้ในเวลา 6 เดือน มีข้อจำกัดการใช้มากมาย ใช้หนี้ไม่ได้ ใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถไม่ได้ ฯลฯและใช้ได้ในระยะทาง 4 กิโลเมตรโดยผูกกับรหัสไปรษณีย์

ยกต้วอย่างเช่นย่านปทุมวัน คนที่ได้รับเงินดิจิทัลจะเอาไปจับจ่ายในห้างใหญ่ๆได้ แต่ถ้าคนอยู่ในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ระยะทางห่างตัวเมือง 247 กิโลเมตร หรืออำเภอปลายอ้อ ปลายแขม อื่น ๆ จะซื้ออะไรได้บ้าง!?

และที่ฟังว่าคนรับเงินดิจิทัล จะเอาไปแลกเงินบาทได้ใน 6 เดือนนั้น จะทำให้กระตุ้นการผลิตอย่างมากมายนั้น จะเป็นไปได้จริงหรือ !?

ที่สำคัญคือ การคิดโครงการใหญ่ ๆ ที่ใช้เงินแผ่นดินต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 โดยรัฐบาลต้องเสนอในกระบวนการงบประมาณต่อรัฐสภา รัฐบาลจะทำหรือไม่?

ยังมีหลายประเด็นที่ประชาชนเจ้าของภาษีสงสัย ทั้งเรื่องการขัดต่อวินัยการเงินการคลัง เรื่องที่ต้องไม่เอาเงินแผ่นดินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างความนิยมทางการเมือง หรือความสงสัยว่าเงินที่แจกเป็นคูปอง หรือเงินตราแบบคริปโทเคอร์เรนซี !?

ข้ออ้างของคุณกิตติรัตน์ที่ว่า คนที่ค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล เป็นพวกไดโนเสาร์ทางการเงิน และยกตัวอย่างของฮ่องกงมากล่าวอ้างนั้น ดิฉันเห็นว่าเคสของฮ่องกงน่าจะมีความแตกต่างกับประเทศไทย และต่างจากนโยบายแจกเงินของคุณเศรษฐาอยู่นะคะ

ฮ่องกงแจกเงินโดยออกเป็นคูปองการใช้จ่าย (consumption voucher) แจกเป็นอิเล็กทรอนิคส์ wallet แบบเป๋าตังค์ธรรมดา ไม่ใช่เงินดิจิทัลที่ต้องไปลงทุนใช้ blockchain technology แบบพวกเงินคริปโทเคอเรนซี่ และคูปองที่ฮ่องกงแจกก็จะไปอยู่ในงบประมาณของประเทศ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับกฎหมายเงินตราหรือเงินดอลลาร์ฮ่องกงแต่อย่างไร

shutterstock 2159418579 1

ฮ่องกงแจกคูปองเพื่อการใช้จ่าย (consumption voucher) ให้ประชาชนด้วยเหตุผลหลักตั้งแต่ตอนที่มีการประท้วงกับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ มีการจับพวกคนเห็นต่างทางการเมืองมากมาย จนประเทศอเมริกา ยุโรป อังกฤษบอยคอต

เป็นเรื่องวิกฤตทางการเมืองที่ทำให้เศรษฐกิจฮ่องกงตกต่ำ คนฮ่องกงจำนวนมากโดยเฉพาะคนรวยย้ายหนีออกนอกประเทศ เพราะไม่อยากอยู่ในประเทศคอมมิวนิสต์และคนจีนแผ่นดินใหญ่ก็เข้ามาตั้งรกรากกันเต็มเมือง คนฮ่องกงจนลง ฮ่องกงไม่น่าอยู่อีกต่อไป

คนต่างชาติในฮ่องกงย้ายฐานการเงินมาอยู่สิงคโปร์หมด ฮ่องกงเลยเดือดร้อนเรื่องนี้เป็นหลัก และในปี 2563 เกิดวิกฤตโควิด ฮ่องกงเลยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการให้คูปองใช้จ่ายกับประชาชน 1 หมื่นเหรียญฮ่องกง จนล่าสุดปีนี้ผู้บริหารฮ่องกงบอกจะแจกอีก 5,000 เหรียญฮ่องกงเ พราะเศรษฐกิจฮ่องกงยังอ่อนแอมาก

แต่เทียบแล้วคนฮ่องกงมีแค่ 7 ล้านคน และแจกให้คนอายุ 18 ปีขึ้นไป ใช้เงินเทียบเคียงกับประเทศไทยแล้วเหมือนใช้เงินประมาณ 8 หมื่ยล้านบาท ในขณะที่ฮ่องกงมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศไทย จีดีพีต่อหัวประชากรสูงกว่าไทยเกือบ 10 เท่าและใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจก็เป็นจำนวนเงินน้อยกว่าไทยถึง 6 เท่า

ดิฉันยินดีรับฟังความคิดเห็นโดยสุจริตของคุณกิตติรัตน์ แต่ก็ควรจะเปิดโอกาสให้นักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ 100 กว่าคนที่ทำจดหมายหางว่าวแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายดิจิทัลรวมทั้งอดีตผู้ว่าแบงค์ชาติด้วย

อย่าไปด้อยค่าคนเหล่านั้นว่าเป็นไดโนเสาร์ทางการเงินการคลัง หรือกล่าวหาพวกเขาว่าเป็นแค่เสียงเดียว รัฐบาลจึงปิดหูไม่ฟัง ดิฉันเห็นว่าคำคัดค้านที่มีเหตุมีผลเหมือนเป็นการชี้ขุมทรัพย์แม้เพียงเสียงเดียวก็สมควรรับฟัง

การที่คุณกิตติรัตน์กล่าวอ้างในกระทู้ที่เขียนในเฟซบุ๊คว่า นโยบายนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการหลุดพ้น กับดักแห่งความเขลา ที่มักอ้างวินัยการเงิน เอาใจผู้ปล่อยกู้ให้โขกดอกเบี้ยสูง ๆ (และยิ่งสูงขึ้น) ในภาวะหนี้สาธารณะของรัฐบาล ต่ำกว่าหนี้ครัวเรือนท่วมประชาชน กำลังซื้อรอบแรกในรูป ดิจิทัล บาท จะสามารถส่งผลต่อเนื่องไปอีกหลายระลอก ธุรกิจจะเริ่มรอด; NPLจะเริ่มลด; คนจบใหม่จะเริ่มมีงานทำ ผู้คนจะมีความหวัง

ดิฉันก็เกรงว่าคำพูดของคุณกิตติรัตน์ จะเป็นการให้ความหวังที่สูงเกินจริงไปหรือเปล่า เพราะเงินแจกนั้นเอาไปจ่ายหนี้ไม่ได้ เอาไปจ่าย ค่าน้ำค่าไฟ ค่าน้ำมันรถก็ไม่ได้ มีข้อห้ามอีกหลายประการ

การหวังสูงถึงกับจะเป็นการทำให้ธุรกิจรอด NPL ลด คนจบใหม่มีงานทำนั้น ดิฉันกริ่งเกรงว่าจะกลายเป็น white lie รอบ 2 หรือเปล่า ?? เป็นการให้ความหวังทางบวกที่เกินจริง หรือไม่??

แต่รอบนี้ต่างจาก white lie ครั้งแรกที่แค่ตั้งเป้าการส่งออก15% ที่สูงเกินจริงมากโดยไม่มีแผนปฏิบัติที่ดีรองรับ แต่สำหรับรอบนี้ ถ้าหวังสูงเกินจริง ประเทศไทยและคนไทยอาจจะสูญเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทเลยทีเดียว ใช่หรือไม่

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo