Business

‘แกรนท์ ธอนตัน’ ชี้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบ ‘ก้าวกระโดด’

“แกรนท์ ธอนตัน” เผยรายงานธุรกิจระหว่างประเทศ ชี้เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด วิตกเรื่องเงินเฟ้อลดลง แต่ยังหวั่นใจความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

รายงานธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Report: IBR) สำหรับครึ่งแรกประจำปี 2566 ที่จัดทำโดย แกรนท์ ธอนตัน ชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดของสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงความเชื่อมั่นของภาคเอกชนทั้งในระดับโลกและในประเทศไทยโดยเฉพาะความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ลดลง

เศรษฐกิจ1

รายงานฉบับนี้ ได้รวบรวมผลการสำรวจ และการสัมภาษณ์ธุรกิจในตลาดระดับกลางอย่างละเอียดเพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มและเงื่อนไขทางธุรกิจที่คาดหวังในช่วง 12 เดือนต่อจากนี้

เปลี่ยนสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

สำหรับคะแนนสุขภาพทางธุรกิจในช่วงเวลาปัจจุบัน ของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากคะแนนสุขภาพทางธุรกิจของกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ติดอยู่ในแดนลบมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมาฃ ในส่วนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คะแนนสุขภาพธุรกิจที่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางเป็นผู้รายงานด้วยตนเองที่ 0.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากติดลบ 2.8% ตามรายงานฉบับก่อน

ขณะที่ทั้งภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย ต่างรายงานการฟื้นตัวของตัวชี้วัดต่าง ๆ รวมไปถึงผลรวมในอัตราที่สูงกว่าคะแนนสุขภาพทางธุรกิจข้างต้น ซึ่งปัจจุบันคะแนนสุขภาพทางธุรกิจของภูมิภาคอาเซียนคิดเป็น 9.9% และประเทศไทยคิดเป็น 14.3% ซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม

นอกจากนี้ คะแนนสุขภาพทางธุรกิจของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นถึง 5.5% จากช่วงเวลาก่อนหน้าสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น สภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพรวมทางธุรกิจที่เป็นเชิงบวกสูงขึ้นอย่างมากตามข้อมูลที่ระบุไว้ในรายงาน

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจขนาดกลางในประเทศไทยพบว่าข้อจำกัดด้านอุปทานและด้านอุปสงค์เป็นอุปสรรคที่มีนัยสำคัญลดลงกว่าเมื่อหกเดือนก่อน โดยเพิ่มขึ้น 2% และ 6% ตามลำดับ อาจเกิดจากการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลานี้อาจส่งผลให้การรับรู้ถึงข้อจำกัดด้านอุปสงค์ดีขึ้น

shutterstock 530884738

 

ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ

การวิเคราะห์ผลการสำรวจจากธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดได้บอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับคะแนนสุขภาพทางธุรกิจที่สูง โดยอัตราร้อยละของธุรกิจที่คาดหวังการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้านั้นมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี

ทั้งนี้ จะเห็นได้จากคะแนนในครึ่งแรกของปี 2565 นั้นคิดเป็น 64% แล้วลดลงไปเป็น 54% ในครั้งหลังของปี 2565 และลดลงเหลือ 46% ในครึ่งแรกของปี 2566 การลดลงนี้ส่งผลให้คะแนนการส่งออกของประเทศ อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและทั่วโลก

ในช่วงเวลาเดียวกัน คะแนนรายได้ของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น (เพิ่มขึ้นจาก 64% ในปีที่แล้วมาเป็น 73% ในปัจจุบัน) ความคาดหวังในการทำกำไรสูงขึ้น (เพิ่มขึ้นจาก 68% เป็น 82%) รวมถึงภาพรวมทางธุรกิจที่เป็นเชิงบวกก็เป็นไปตามแนวโน้มที่คล้ายกัน (เพิ่มขึ้นจาก 58% เป็น 72%)

ส่วนคะแนนการจ้างงานก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน (จากเดิม 36% ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 52%) เช่นเดียวกันกับการลงทุนด้านทักษะพนักงาน (เพิ่มขึ้นจาก 48% เป็น 59%) และการลงทุนด้านไอที (จาก 49% เป็น 60%) ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ค่าเฉลี่ยคะแนนของอาเซียนยังคงสูงกว่าคะแนนของประเทศไทยในด้านต่าง ๆ เหล่านี้

สำหรับแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นนี้พบว่าเป็นปัจจัยมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศที่เพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ การมาถึงของนักท่องเที่ยวก่อให้เกิดสภาพคล่องที่ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตได้แม้จะไม่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นก็ตาม

นอกจากนี้ การบริโภคของภาคเอกชนในประเทศไทย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการลงทุนในอุตสาหกรรม S-curve และโครงการสำคัญ ๆ เช่น โครงการ One Bangkok การขยายสนามบินอู่ตะเภา และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนเช่นกัน

เมื่อเวลาผ่านไป โครงการเหล่านี้บางโครงการอาจช่วยส่งเสริมที่จำเป็นอย่างมากต่อเศรษฐกิจการส่งออกของประเทศไทย รวมทั้งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้ของประเทศไทยก็เพิ่มขึ้น (จาก 64% ในปีที่แล้วมาเป็น 73%)

เศรษฐกิจ

อุปสรรคที่พึงระวัง

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโดยรวม ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยบ่อยที่สุด โดยมีคะแนนรวมอยู่ที่ 50% (ลดลงจากช่วงก่อนหน้าเล็กน้อย) ความไม่แน่นอนทางการเมืองน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ ควบคู่ไปกับแรงกดดันทางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นอาจช่วยขจัดความไม่แน่นอนบางประการได้

ข้อจำกัดอื่นที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจขนาดกลางในประเทศไทย ได้แก่ ต้นทุนพลังงาน (44%) และกฎระเบียบต่างๆ (32%) สิ่งที่น่ากังวลน้อยกว่า คือ ความพร้อมของแรงงานที่มีทักษะ (24%) ตัวบ่งชี้อุปสรรคเหล่านี้ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ของประเทศไปสู่สังคมผู้สูงอายุยังคงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

รายงานธุรกิจระหว่างประเทศครึ่งแรกประจำปี 2566 จัดทำโดยการสำรวจและสัมภาษณ์ธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงผู้นำธุรกิจขนาดกลางประมาณ 5,000 ราย (รวมทั้งธุรกิจในประเทศไทยจำนวน 100 ราย) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของปีนี้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo