Economics

‘ม.หอการค้าไทย’ หั่นเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือโต 3% ส่วนส่งออกคาดติดลบ 2%

“ม.หอการค้าไทย” หั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 3% จากเดิมคาดขยายตัว 3.6% ส่วนส่งออกคาดติดลบ 2% ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดขยายตัว 4.5-5%

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 3.0% จากเดิม 3.6% เนื่องจากปัจจัยลบที่สำคัญ คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 2/66 ชะลอตัวกว่าที่คาด มูลค่าการส่งออกของไทยยังปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาด นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณปี 2567 รวมถึงสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงจากปรากฎการณ์เอลนีโญ

เศรษฐกิจไทย

โดย ม.หอการค้าไทย ยังคาดการณ์ว่าการส่งออกไทยในปีนี้ จะหดตัว -2% จากเดิมคาดโต 1.2%, การนำเข้า หดตัว -2.5% จากเดิมคาดโต 2.2% อัตราเงินเฟ้อ 1.8% จากเดิมคาด 3.0% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 29 ล้านคน จากเดิมคาด 22 ล้านคน และหนี้ครัวเรือน อยู่ที่ระดับ 89.5%

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปี 66 ยังมีปัจจัยบวกสำคัญ ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด ซึ่งส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลดีจากมาตรการวีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถานเป็นการชั่วคราว 5 เดือน การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้น การนำเข้าสินค้าลดลง และรัฐบาลชุดใหม่ที่มีมาตรการเร่งด่วนออกมาช่วยเหลือประชาชน

เศรษฐกิจไทย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวได้ 3.0% ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.6% โดย 0.6% ที่หายไปนั้น เป็นผลมาจากภาคการส่งออกสินค้าที่ลดลงเป็นสำคัญ รวมถึงกำลังซื้อของประชาชนที่หายไป นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงจากผลของการลงทุนภาครัฐที่หายไปในช่วงที่ผ่านมาด้วย แต่เศรษฐกิจไทยยังโชคดีที่ได้เรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเสริม

พร้อมกันนี้ ม.หอการค้าไทย ยังประเมินในเบื้องต้นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 67 จะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ โดยจะสามารถขยายตัวได้ 4.5-5% หรือค่ากลางที่ 4.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.5-3% แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 1-3%

ด้านนายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน เกษตรกร รวมถึงการลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการว่า หากรวมทั้ง 3 มาตรการเร่งด่วน คือ การลดค่าไฟฟ้า ลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย, การปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาท/ลิตร และการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร 2.7 ล้านราย รวมยอดหนี้ 2.83 แสนล้านบาทนั้น ทั้ง 3 มาตรการนี้ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ช่วยประหยัดรายจ่ายลงไปได้รวมแล้วประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาท

เศรษฐกิจไทย

โดยเฉพาะมาตรการลดค่าไฟฟ้า ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนลงได้มากถึง 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากมาตรการลดค่าครองชีพทั้ง 3 ส่วนดังกล่าว จะทำให้เม็ดเงินในส่วนนี้ สามารถผันกลับมาเป็นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น มีผลต่อมูลค่า GDP ราว 7.2 หมื่นล้านบาท และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 0.43%

“จากทั้ง 3 มาตรการที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายนี้ ทำให้ประหยัดเงินของประชาชนลงไปได้เกือบ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินนี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ มีผลต่อ GDP ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ ได้เป็นมูลค่าประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น GDP ที่จะเพิ่มขึ้น 0.43% โดยสาขาที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากมาตรการ Quick win นี้ คือ การผลิตภาคอุตสาหกรรม, การขายส่ง-ขายปลีก และสาขาบริการอื่น ๆ”นายวิเชียร ระบุ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo