Business

เมเจอร์ฯ สานเป้าหมายดันไทยเป็น ‘Tollywood’ ปักหมุดเพิ่มโรงหนังครบ 1,200 โรงปี 2573

เมเจอร์ฯ เดินหน้าสานฝันไทยสู่ Tollywood ปักหมุดเพิ่มโรงหนังครบ 1,200 โรงปี 2573 พร้อมขายป๊อปคอร์นเข้าเซเว่น อีเลฟเว่น ปลายเดือนกันยายนนี้

น.ส. ฐิตาภัสร์ อิสราพรพัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินและบัญชี บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดหนังไทย เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้ตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็น Tollywood จึงได้ตั้งเป้าปักหมุดขยายโรงหนังเพิ่มให้ครบ 1,200 โรง ภายในปี 2030 หรือ ในปี 2573 ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ

เมเจอร์ฯ

สำหรับในปี 2566 เดินหน้าขยายสาขาโรงภาพยนตร์ 8 สาขา 40 โรง ด้วยงบลงทุน 600 ล้านบาท โดยปัจจุบัน เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป มีสาขาโรงภาพยนตร์ที่เปิดให้บริการ รวมทั้งสิ้น 178 สาขา 825 โรง แบ่งเป็น

ในประเทศ 169 สาขา 779 โรง

  • สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 47 สาขา 345 โรง
  • สาขาในต่างจังหวัด 122 สาขา 434 โรง

ต่างประเทศ 9 สาขา 46 โรง

  • สาขาในประเทศลาว 3 สาขา 13 โรง
  • สาขาในประเทศกัมพูชา 6 สาขา 33 โรง

ด้านภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2566 เมเจอร์ฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากครึ่งปีแรกของปี 2565 และมีกำไรสุทธิรวม 603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 288% เทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2565

ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าว มาจากรายได้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ 1,945 ล้านบาท, ธุรกิจป๊อปคอร์น 1,088 ล้านบาท, ธุรกิจสื่อโฆษณา 435 ล้านบาท, ธุรกิจโบว์ลิ่ง 198 ล้านบาท, ธุรกิจพื้นที่เช่า 125 ล้านบาท และรายได้จาก Movie Content 83 ล้านบาท

การฟื้นตัวต่อเนื่องของธุรกิจ หลังจากการคลี่คลายของโควิด-19 ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการดูหนังในโรงหนังเพิ่มมากขึ้น และกลับมาคึกคักเหมือนช่วงก่อนโควิด-19

336007
ฐิตาภัสร์ อิสราพรพัฒน์

นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่า ไลฟ์สไตล์การดูหนังในโรงหนังไม่ได้ถูกดิสรัปชันทั้งจากสตรีมมิ่งหรือโควิด-19 เพราะลูกค้ายังโหยหาการกลับเข้ามาดูหนังในโรงหนัง ซึ่งให้อรรถรสที่แตกต่างจากการดูที่บ้านหรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

ประกอบกับในช่วงครึ่งปีแรกมีหนังฮอลลีวู้ดที่ได้รับความสนใจเข้าฉายหลายเรื่องและทำรายได้ได้ดีต่อเนื่อง อาทิ Fast and Furious X, John Wick : Chapter 4, Guardians of the Galaxy Vol. 3, Transformers : Rise of the Beasts, Avatar The Way of Water, Ant-Man And TheWasp : Quantumania, The Little Mermaid, Spider-Man : Across the Spider-Verse, Shazam! Fury of the Gods

ส่วนครึ่งปีหลังมีหนังฮอลลีวู้ดที่น่าสนใจเข้าฉาย อาทิ Mission : Impossible – Dead Reckoning Part One, Oppenheimer, Barbie, Meg 2 : The Trench, Blue Beetle, Gran Turismo, The Nun 2, Dune Part Two, The Marvels, Aquaman and The Lost Kingdom

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โรงหนังจะขาดไม่ได้ คือ คอนเทนต์ หรือ หนัง ที่จะเป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้ากลับเข้ามาดูหนัง โดยในปี 2566 มีหนังต่างประเทศเข้าฉาย 199 เรื่อง หนังไทยเข้าฉาย 50 เรื่อง

น.ส. ฐิตาภัสร์กล่าวว่า หนังไทยก็เป็นอีกจุดขายสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากลับมาดูหนังมากขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ที่เน้นการพัฒนาและสนับสนุนการสร้างหนังไทย หวังผลักดันให้มาร์เก็ตแชร์ของหนังไทยให้ได้ 50% ปัจจุบันสัดส่วนรายได้หนังไทยอยู่ที่ 27% และหนังต่างประเทศ 73%

ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีหนังไทยเข้าฉายไปแล้ว 20 เรื่อง โดบหนังไทยที่ทำรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก คือ ขุนพันธ์ 3 ทำรายได้รวม 110 ล้านบาท, Long Live Love ทำรายได้รวม 90 ล้านบาท ปัจจุบันยังฉายอยู่ คาดการณ์รายได้จะถึง 100 ล้านบาท และ ทิดน้อย ทำรายได้รวม 88 ล้านบาท

ขุนพันธ์ 3

ขณะที่ในครึ่งปีหลังมีหนังไทยเข้าฉายอีก 30 เรื่อง มีหนังไทยที่น่าสนใจ 9 เรื่อง อาทิ แมนสรวง, ไปรษณีย์ 4 โลก, 14 Again, นักรบมนตรา, ธี่หยด, Not Friend, อีสานซอมบี้, 4 Kings 2 สลิธ โปรเจกต์ล่า

อีกกลยุทธ์สำคัญของเมเจอร์ฯ คือ การผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรมาช่วยผลิตหนังไทยป้อนสู่ตลาด โดยคาดว่าในปีหน้า จะเป็นปีที่โดดเด่นของหนังไทย มีพาร์ทเนอร์มา Synergy มากขึ้น จะช่วยผลักดันให้เป้าหมายการเติบโตของตลาดหนังไทยเติบโตได้เร็วขึ้น

shutterstock 1547819855

ในส่วนของกลุ่มเมเจอร์ฯ ตั้งเป้าหมายผลิตหนังไทยเข้าฉายให้ได้ปีละ 20 เรื่อง และยังส่งขายลิขสิทธิ์หนังไทยให้กับทาง Netflix, Amazon, Prime และสตรีมมิ่งเจ้าอื่น ๆ

ขณะเดียวกัน New Business อย่าง ป๊อปคอร์น ที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างรายได้ในช่วงโควิด-19 และเป็นดาวรุ่งในปัจจุบัน ก็เห็นโอกาสการเติบโตอย่างชัดเจน มีตัวเลขการเติบโตของรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ปลายเดือนกันยายนนี้

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo