กรมเจรจาฯ เตือน 7 กลุ่มสินค้าเกษตร รับมืออียู ออกกฎต้องแจ้งข้อมูล ปลอดตัดไม้ทำลายป่า บังคับใช้ 30 ธันวาคม 2567
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free products Regulation : EUDR) หรือ Regulation (EU) 2023/1115
กฏระเบียบดังกล่าว กำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าเกษตร 7 กลุ่ม ได้แก่ โค โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ จะต้องลงทะเบียนในระบบฐานข้อมูลและแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวกับการผลิต เช่น แหล่งที่มา ผู้ผลิต และพิกัดทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่เพาะปลูก เก็บเกี่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับ และวิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบภาพถ่ายจากดาวเทียมว่า สินค้านั้นผลิตบนพื้นที่ตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation) หรือทำให้ป่าเสื่อมโทรม (Degradation) หรือไม่ เพื่อลดการทำลายพื้นที่ป่าของโลก และลดการนำเข้าสินค้าที่มีความเสี่ยงในการทำลายป่าเข้ามาในอียู
สำหรับเกษตรกรและผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้อง จะมีเวลาเตรียมการ (transitional period) ประมาณ 18 เดือน ก่อนที่มาตรการนี้จะมีผลใช้บังคับ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567
ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง เล็ก และย่อม (MSME) ที่จัดตั้งขึ้นภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 จะได้เวลาเปลี่ยนผ่าน 24 เดือน ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ก่อนที่มาตรการจะมีผลใช้บังคับ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอียูจะออกกฎระเบียบลำดับรอง เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการนี้มีความชัดเจนขึ้น เช่น กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ บทลงโทษ การจัดทำระบบฐานข้อมูล และการจัดกลุ่มประเทศ ตามระดับความเสี่ยงในการตัดไม้ ทำลายป่า เพื่อกำหนดระดับความเข้มงวดในการสุ่มตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ประกอบการแจ้ง
ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง จะถูกสุ่มตรวจ 9% ความเสี่ยงระดับกลาง 3% และความเสี่ยงระดับต่ำ 1%
จากการหารือหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ทราบว่า การยางแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างจัดทำฐานข้อมูลการเพาะปลูกยางพารา และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) อยู่ระหว่างการจัดทำคู่มือสำหรับสมาชิก เพื่อใช้ประกอบการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว
ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐของไทย เช่น กระทรวงการต่างประเทศ และกรมฯ ได้ประสานกับอียู เตรียมเชิญผู้เชี่ยวชาญมาจัดสัมมนาฝึกอบรมให้คำแนะนำและอธิบายมาตรการนี้ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องของไทยได้เข้าใจและรับทราบข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนมาตรการบังคับใช้จริง
ในปี 2565 ไทยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ไปอียู มูลค่า 1,732.8 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 11% ของการส่งออกไทยไปโลก และส่งออกกาแฟ มูลค่า 0.3 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 9% ของการส่งออกไทยไปโลก
ขณะที่การส่งออกสินค้ากลุ่มอื่น ๆ ไปอียู ได้แก่ วัวและผลิตภัณฑ์ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์ โกโก้และผลิตภัณฑ์ และไม้และผลิตภัณฑ์ มีสัดส่วนต่ำกว่า 5% ของการส่งออกไปโลก
ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกของไทยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ รวมถึงกาแฟ จำเป็นต้องเตรียมจัดทำข้อมูล สำหรับยื่นแสดงต่ออียูภายใต้ระเบียบดังกล่าว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- แก้ปัญหาทุเรียนอ่อน ‘สวมสิทธิ GAP-GMP’ ส่งออก กระทรวงเกษตรฯ ย้ำ ถอนใบรับรอง เอาผิดทั้งแพ่งและอาญา
- การยางฯ ขึ้นทะเบียน ‘เกษตรกรชาวสวนยาง’ กว่า 90% เตรียมพร้อมส่งออกตลาด EU ตาม ‘กฎหมายEUDR’
- ส่งออก ‘สินค้าเกษตร’ 11 เดือน โกยรายได้ 1.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%